เภสัชฯ-พยาบาล เถียงกันเสียงแตก! พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ พยาบาลจ่ายยาได้!

หลังจากกรณีองค์กรวิชาชีพเภสัชกรรมออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ยา พ.ศ…. ฉบับใหม่ ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) จัดทำขึ้นแทน พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ซึ่งเคยเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) มาหลายครั้ง แต่ไม่ผ่านการพิจารณา กลายเป็นกฎหมายที่ใช้มานานกว่า 50 ปี ล่าสุดแม้จะผ่านการประชาพิจารณ์และเสนอต่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(ครม.) แต่ก็ถูกให้นำเข้าสู่การประชาพิจารณ์ผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการอีกครั้ง เพื่อรวบรวมประเด็นต่างๆ ปรากฏว่ายังไม่ทันเสนอ ครม. องค์กรวิชาชีพเภสัชกรรมก็ออกมาคัดค้าน โดยเฉพาะประเด็นที่มองว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้เปิดช่องให้วิชาชีพอื่นๆ จ่ายยาและขายยาได้ ไม่ใช่แค่เภสัชกรเท่านั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม สภาการพยาบาลได้เผยแพร่ประกาศจุดยืนวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์กับความปลอดภัยในการใช้ยา ผ่านเว็บไซต์เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 โดยระบุว่า ขอสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ยา พ.ศ…. ฉบับผ่านประชาพิจารณ์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ยา ที่จะเอื้อให้ทุกวิชาชีพทางด้านสุขภาพ สามารถทำงานร่วมกันบนความทับซ้อนของวิชาชีพในระบบสุขภาพได้ด้วยจิตวิญญาณของทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีความเอื้ออาทรต่อกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ฯลฯ

ประกาศดังกล่าวยังระบุอีกว่า การศึกษาสาขาพยาบาลศาสตร์ในทุกหลักสูตร จัดการเรียนการสอนเรื่องยาอย่างเพียงพอ คือ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตเรียนวิชาเภสัชศาสตร์ จำนวน 3 หน่วยกิต และจัดการเรียนการสอนที่บูรณาการในรายวิชาทางการพยาบาลทุกรายวิชาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จำนวนไม่น้อยกว่า 70 หน่วยกิต ซึ่งนักศึกษาจะต้องเรียนรู้เรื่องยาและการบริหารยาที่ใช้รักษาพยาบาลผู้ป่วยในแต่ละโรคที่พบบ่อย ทั้งเรื่องขนาดยา การบริหารยา ผลข้างเคียง และวิธีการแก้ไขเบื้องต้นหากพบความผิดปกติ

นอกจากนี้ พยาบาลวิชาชีพต้องเรียนรายวิชาการรักษาโรคเบื้องต้น จำนวน 4 หน่วยกิต โดยต้องฝึกประเมินสุขภาพ ทั้งการซักประวัติ ตรวจร่างกาย วินิจฉัยแยกโรค และให้การรักษาโรคเบื้องต้น โดยคำนึงถึงความจำเป็นและความปลอดภัยในการใช้ยาเป็นสำคัญ และจะส่งต่อในรายที่เกินขอบเขตวิชาชีพฯ หรือต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ และในหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางสาขาเวชปฏิบัติทั่วไป (การรักษาโรคเบื้องต้น) ผู้เข้ารับการอบรมต้องผ่านการอบรมและฝึกปฏิบัติเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use: RDU) ร่วมกับการตรวจวินิจฉัยแยกโรคและการรักษาโรคเบื้องต้น ตลอดจนการให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อรังและครอบครัว จำนวน 16 หน่วยกิต

ทั้งนี้ พยาบาลเวชปฏิบัติที่ทำการตรวจวินิจฉัยแยกโรคและการรักษาโรคเบื้องต้นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่สภาการพยาบาลประกาศกำหนดไว้ ซึ่งที่ผ่านมาภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพได้ให้ความเห็นชอบร่วมกับสภาการพยาบาลให้ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์สามารถใช้ยาจำนวน 18 กลุ่มกับผู้ป่วยที่พยาบาลวิชาชีพได้ให้การวินิจฉัยแยกโรคและตรวจรักษาโรคเบื้องต้นตามขอบเขตที่กฎหมายวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์กำหนด ดังนั้น สภาการพยาบาลและผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ขอยืนยันว่า วิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์จะยืนหยัดดูแลประชาชนให้ปลอดภัย ตามขอบเขตหน้าที่ของวิชาชีพฯตามกฎหมาย

 

 

 

หลังจากสภาการพยาบาลออกประกาศดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้มาแสดงความคิดเห็นมากมาย ทั้งพยาบาลและเภสัชกร อาทิ “การให้วิชาชีพอื่นเข้ามาทำการจ่ายยาได้นั้น อาจเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ ซึ่งแต่ละวิชาชีพสุขภาพนั้นมีหน้าที่ของตนเองอยู่แล้ว ความร่วมมือในระบบสุขภาพคือ ควรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ใช่การก้าวก่ายหน้าที่ระหว่างกัน”

“การเรียนเพียง 3 หน่วยกิตเกี่ยวกับยาของพยาบาลนั้นเพียงพอแล้วจริงหรือไม่”

“การที่สภาการพยาบาลออกประกาศเช่นนี้ ได้ถามความคิดเห็นของพยาบาลแล้วหรือไม่ เพราะอาจเป็นการเพิ่มภาระงานให้แก่พยาบาลได้”

นอกจากนี้ มีบางข้อเสนอที่ระบุว่า หากให้วิชาชีพอื่นจ่ายยาได้ ในอนาคตอาจไม่มีใครหันมาเรียนเภสัชศาสตร์ เพราะต้องเรียน 6 ปี แต่พยาบาลเรียน 4 ปี จ่ายยาขายยาได้ และฉีดยาผดุงครรภ์ได้อีก จนคณะเภสัชศาสตร์อาจต้องปิดตัวลงหรือไม่ และอาจหาเภสัชกรรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนไม่ทัน และหากจะให้พยาบาลสามารถจ่ายยาได้นั้น อยากให้มาสอบใบประกอบโรคศิลปะของเภสัชกรด้วย