Home »
Uncategories »
ปลดหนี้บ้านให้หมดภายใน 7-10 ปี ดูเหมือนเรื่องยากแต่ทำได้จริง
ปลดหนี้บ้านให้หมดภายใน 7-10 ปี ดูเหมือนเรื่องยากแต่ทำได้จริง
ผ่อนบ้านยังไงให้หมดภายใน 7-10 ปี วันนี้เรามีคำตอบ
อาจจะฟังดูยากสำหรับการที่จะปลดหนี้บ้านภายใน 7-10 ปี
ซึ่งมันก็ยากจริงๆนั้นแหละครับ
เพราะต้องมีระเบียบและความมานะบากบั่นเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นการ
“ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี”
ซึ่งเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ โดย คุณ Mr.Worldwide
เริ่มกันเลย…
คือผมอยากแชร์ประสบการณ์วิธีผ่อนบ้านและคอนโด
ที่ผมเคยทำตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน
เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ผมยังมีเงินเดือนแค่ 14,000 บาท เมื่อประมาณ 18
ปีที่แล้ว เลื่อนตำแหน่งเปลี่ยนงานมาก็มาก จนปัจจุบันมาทำธุรกิจส่วนตัว
จึงมั่นใจว่าวิธีการจัดการผ่อนบ้านของผมค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจสำหรับตัวเอง
และคิดว่าน่าจะพอเป็นไกด์ไลน์ให้คนที่กำลังจะซื้อบ้านหรือคอนโดมาให้ทราบกันครับ
ขอบอกว่าแนวทางผมอาจจะ “อึดอัด” และต้องมี “วินัยสูง”
แต่รับประกันว่าสามารถลดเวลาผ่อนสินทรัพย์ของท่านจาก 25-30
ปีหรืออาจจะมากกว่าจนผ่อน 7-10 ปีได้ !!!
ยกตัวอย่าง
ผมเริ่มคิดที่จะมีสินทรัพย์แรกคือ ทาวน์โฮมครับ
เป็นทาวน์โฮมที่อยู่เกือบจะในเมืองหรือเกือบจะนอกเมือง 555 (คือมันอยู่ปลาย
ๆ พระราม 9) ราคาประมาณ 4 ล้านบาท สมัยนั้นผมทำงานบริษัท หน้าที่การงานดี
ได้เงินเดือน ๆ ละ 55,000 บาทครับ พอตัดสินใจจะซื้อ
เซลส์มักจะโน้มน้าวเราต่าง ๆ นานา เพราะเห็นว่าเราคงกู้ผ่านแน่ ๆ
“ผ่อนเดือนละ 20,000 บาทเองค่ะ สบาย ๆ” ประโยคนี้อันตรายครับ
เพราะหากเป็นคนทั่วไปมักจะคิดว่าเงินเดือน 5 หมื่นกว่าบาท ผ่อนแค่ 2
หมื่นบาท ชิล ๆ ใช่ไหมครับ ?
วิธีคิดของผมคือ ถ้าเราชอบสินทรัพย์นั้น ๆ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นคอนโด บ้าน หรือทาวน์เฮ้าส์ แต่ท่านตั้งใจจะซื้อแน่นอน
“ถ้าเราต้องผ่อน 20,000 บาท (ตัวอย่าง) ให้เราคิดว่าเราต้องผ่อนเป็น “2
เท่า” คือ 40,000 บาทให้ได้ ผมถึงจะซื้อครับ”
อ่านถึงตรงนี้คงมีคนบอก “ถ้าอย่างนั้นอย่าผ่อนเลย
ไม่มีวันมีบ้านหรอกชาตินี้” คิดแบบนั้นก็คือ ผ่อนไปตามนั้นเดือนละ 20,000
บาท ก็จะไปจบที่ผ่อน 25-27 ปี ถึงจะได้เป็นเจ้าของจริง ๆ
(โดยประมาณของดอกเบี้ยลดต้นลดดอกของการผ่อนบ้าน)
แต่ผมบอกแล้ววิธีของผม “ฮาร์ดคอร์”
ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะรู้ไหมครับว่าดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านแพงมาก ๆ
ท่านจะทราบก็ต่อเมื่อเป็นลูกหนี้แล้วเท่านั้น เอาดอกเบี้ยมาตรฐานทั่วไป
MLR-1% หรือดอกเบี้ยประมาณ 5-7% ต่อปี เพราะเวลาเราผ่อนบ้าน 1-3 ปีแรก
มันจะมีดอกเบี้ยหลายแบบ ทั้ง 0% ปีแรกบ้าง ปีต่อไปลอยตัว
(อันนี้ไม่ค่อยมีแล้ว) แบบขั้นบันไดบ้าง ผมขอไม่ลงดีเทลนะครับ
ขอสมมุติว่าดอกเบี้ย 5-7% ต่อปีแบบเท่ากันหมด
(ซึ่งส่วนใหญ่เราก็ผ่อนกันเกิน 3 ปีกันอยู่แล้ว แล้วค่อยรีไฟแนนซ์
ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่ถ้าเอาแบบบ้าน ๆ ก็คือ
เวลาบิลเรียกเก็บค่างวดมาที่บ้าน หากท่านผ่อนเดือนละ 20,000 บาท
ท่านจะเห็นในบิลเลยว่า
– ดอกเบี้ย = 12,000 บาท
– (หัก) เงินต้น = 8,000 บาท (เอาเลขกลม ๆ)
นี่คือค่าผ่อนต่อเดือนนะครับ คราวนี้ดอกเบี้ยแพงหรือยังครับ กู้ไป 4 ล้านบาทเมื่อไรจะหมด ?
(4,000,000-8,000 = 3,992,000)
แต่ผ่อน “2 เท่า” ตามวิธีของผมก็คือ 40,000 บาท เหลือกินใช้ 15,000 บาท
(สำหรับคนไม่มีภาระนะครับ หากมีภาระแล้ว
อยากใช้วิธีนี้แนะนำให้ดูสินทรัพย์ที่ถูกลงมาครับ)
– “20,000 บาทแรก” (ดอกเบี้ย 12,000 บาท หักเงินต้น 8,000 บาท)
– “20,000 บาทหลัง” (หักเงินต้น 100% หรือหักไปเลยอีก 20,000 บาท) ^_^
หมายความว่า ท่านจะสามารถหักเงินต้นเดือนนั้นได้ถึง 8,000 20,000 บาท
หรือ “3.5 เท่า” ของการหักโดยปกติ (4,000,000-28,000 = 3,972,000)
เห็นไหมครับว่าเงินต้นที่กู้ธนาคารมาลดลงเร็วขึ้น
เพราะเราได้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับค่างวด 20,000 บาทแรกแล้ว
ท่านก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ พอสิ้นปีได้โบนัส ถูกหวย
หรือได้เงินพิเศษมาก็จ่ายเพิ่มหนักหน่อย แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้เงิน
ท่านก็สามารถลดเงินค่างวดพิเศษลงได้หรือไม่จ่ายเพิ่มในเดือนนั้น
แต่อย่าทำบ่อยนะครับ ถ้ามีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่ 2 เสมอ
พอผ่านไปสัก 3 ปี ผมกล้าพูดได้เลยว่าเงินต้นที่ท่านกู้จะลดลงไปมาก
ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทแน่นอนครับ หนี้จาก “4 ล้านบาทก็จะเหลือไม่ถึง 3
ล้านบาท ประมาณ 2 ล้านบาทปลาย ๆ (ถ้าผ่อนแบบปกติครบ 3 ปี เงินต้นจะลดไปแค่ 1
แสนบาทเองครับ ลองคิดดู) หากท่านมีวินัย โปะไปเรื่อย ๆ
หนี้สินก็จะหมดภายใน 5-7 ปี แล้วท่านก็จะปลอดหนี้
ถ้าไม่สร้างหนี้เพิ่มเหมือนผม
วิธีการคือ ตากปกติธนาคารมักจะให้หักค่างวดจากบัญชีของธนาคารนั้น ๆ เลย
(20,000 บาทแรก) โดยเราสามารถจ่ายเพิ่มได้อีก 1 เท่า (20,000 บาทหลัง)
ได้โดยการไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคารนั้น ๆ ครับ แนะนำว่าควรไปจ่ายเพิ่มอีก 1
เท่าภายในเดือนนั้น ๆ แต่ควรเป็นต้นเดือน
เพราะโดยปกติธนาคารจะเรียกเก็บค่างวดจากการหักบัญชีเราตอนสิ้นเดือน
(ส่วนใหญ่วันที่ 30 ของทุกเดือน) เพราะถ้าเราจ่ายวันที่ 1 ของเดือนนั้น
ธนาคารจะแอบคิดดอกเบี้ย 1 วัน (ประมาณ 500 บาท) หักเงินต้น (19,500 บาท)
อ่าว…ไหนบอกหัก 100% ไง ?? คืออย่าเพิ่งตกใจครับ
เพราะตอนธนาคารหักเงินจากบัญชีเรา วันที่ 30 ที่หักค่างวดปกติ
ดอกเบี้ยก็จะคิดแค่ 29 วัน ไม่นับวันที่ 1 ที่เราจ่ายแล้วครับ
เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ
พอครบ 3 ปีเราค่อยไปรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นที่เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่า
เพราะจะมีโปรโมชั่นรีไฟแนนซ์ที่ดีกว่า เพราะพอครบ 3
ปีเราจะไม่ได้โปรโมชั่นจากธนาคารเดิมแล้ว “ปีที่ 4
ทุกธนาคารจะคิดดอกเบี้ยลอยตัวหมดครับ” (ควรไปรีไฟแนนซ์หรือภาษาบ้าน ๆ
เรียกว่าไปกู้ธนาคารอื่นครับ เพื่อโปรโมชั่นดอกเบี้ยที่ถูกลง อย่าทำก่อน 3
ปีนะครับ เพราะจะโดนค่าปรับไม่คุ้มครับ)
หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์สำหรับคนที่คิดกู้เงินซื้อบ้านนะครับ
วิธีการนี้หากใช้ให้เป็น มันสามารถสร้างสินทรัพย์ได้ 4-5 อันในระยะเวลาเท่า
ๆ กัน เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่ใช้เวลา 25-30 ปี
ในการสร้างสินทรัพย์แค่อันเดียว
แล้วถ้าหากสินทรัพย์เหล่านั้นที่ท่านเลือกเป็นสินทรัพย์ที่ดี ออกดอกออกผล
สร้างรายได้หรือกระแสเงินสด (Cash Flow) ให้ท่านต่อเดือน เช่น ให้ค่าเช่า
มันก็จะเป็นรายได้ให้ท่านอีกทางหนึ่ง หรือที่สมัยนี้นิยมเรียกกันว่า
“Passive Income”
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก : kapook