“ขี้เมาเฮ..ขับรถได้?” ทนายดัง โพสต์ช่องโหว่ทางกฏหมาย ”การเป่าแอลกอฮอล์”

กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงในโลกออนไลน์กันพอสมควร เมื่อเพจ Pitbullzone ของ มาร์ค พิทบูล ได้โพสต์เกี่ยวกับข้อกฎหมายการเป่าแටลกටฮටล์ ซึ่งเป็นข้อความที่ ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม หรือ ทนายสุกิจ ได้โพสต์เกี่ยวกับช่องโหว่ของกฎหมายเรื่องนี้เอาไว้ ซึ่งระบุว่า

 

ขี้เມาได้เฮ!…ขับรถได้

กฏหมายให้สันนิษฐานว่า “เມา”แต่กฏหมายไม่ได้ บัญญัติถึงบทลงโทษว่า “หากฝ่าฝืนไม่เป่ามีบทลงโทษ”ฐานใด

 

“ตำรวจจึงไม่มีสิทธิ์ใช้เครื่องเป่าแටลกටฮටล์ เครื่องวัดลมหายใจตรวจหรือเป่าได้ ทั้งยังไม่มีกฏหมายรองรับ ตำรวจก็ไม่เจ้าหน้าที่เทคนิคทางการแพทย์”

——-////———

หลายวันก่อนผมมีโอกาสไปดื่มกินกับเพื่อนที่เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  ผมเลยเตือนเพื่อนไปว่า “ดื่มมากๆ เดี๋ยวผ่านด่านตรจ จะโดนจับเป่าแටลกටฮටล์”  เพื่อนผมตอบสวนมาว่า

“มึงไม่รู้หรือไงว่า ไอ้เครื่องเป่าแටลกටฮටล์ มันมีคุณสมบัติเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ คนที่จะใช้อุปกรณ์นี้ได้ ต้องเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคทางการแพทย์เท่านั้น 

ที่สำคัญคือ มันต้องเป็นเครื่องของราชการ ที่มีเลขครุภัณฑ์เท่านั้น เครื่องที่ตำรวจซื้อมาใช้เองนั้นมันไม่มีอะไรรับรองมาตรฐาน และตำรวจก็ไม่เจ้าหน้าที่เทคนิคทางการแพทย์ ลองไปเปิดอ่านกฎหมายดูแล้วจะรู้”

เพื่อคลายความสงสัยว่าไอ้สิงที่เพื่อนหมอผมพูดนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่  เมื่อผมได้ค้นหาข้อมูลถึงกับอึ้งกิมกี๋กับประโยคที่ว่า

“….การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำเครื่องเป่ามาใช้วัดกับคดีเມาไม่ขับนั้นยังไม่มีกฏหมายรองรับความเป็นมาตราฐานสากล….”

 

และที่อึ้งกิมกี่ยิ่งกว่า คือ

 

“…ตำรวจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการเป่าหรือทดสอบว่าผู้ขับขี้เມาหรือไม่ ทั้งตำรวจยังมิได้ผ่านทดสอบและอบรมจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  และตำรวจ ไม่เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ เครื่องย่อมมีค่าความผิดพลาดเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดได้…”

เพื่อนหมอผมพูดจริง ตามนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8809/2549  พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2557 โดยเพิ่มเติมในมาตรา 142 วรรคสี่โดยกำหนดข้อสันนิษฐานไว้ว่า กรณีผู้ขับขี่เມาสุsาหรือของเມาอย่างอื่น

หากไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันควร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้ขับขี่ขณะเມาสุsานั้น  ผู้ขับขี่ปฏิเสธไม่เป่าได้  ไม่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานขณะปฎิบัติตามหน้าที่

การทดสอบเป็นไปตามหลักเกณท์ตามกฏกระทรวงฉบับที่ 16(พ.ศ.2537)และกฏกระทรวงฉบับที่ 21(พ.ศ.2560)ตามความพระราชบัญญัติจารจรทางบก พ.ศ.2522. ชึ่งมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นแนวทาง

 

ทั้งนี้ตำรวจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการเป๋าหรือทดสอบว่าผู้ขับขี่เມาหรือไม่  ทั้งตำรวจยังมิได้ผ่านทดสอบและอบรมจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และตำรวจ ไม่เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ เครื่องย่อมมีค่าความผิดพลาดเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดได้

ประกอบเครื่องที่ตำรวจใช้นั้นนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เปิดช่องประมูลกับเอกชนจำนวน 610 เครื่องๆราคาประมูลเครื่องละไม่เกิน 500บาท  การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำเครื่องเป่ามาใช้วัดกับคดีเມาไม่ขับนั้นยังไม่มีกฏหมายรองรับความเป็นมาตราฐานสากล

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันว่าเพื่อให้เครื่องสามารถตรวจวัดค่าปริมาณแටลกටฮටล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  มีผลการวัดที่ถูกต้องแม่นยำ และใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี

ซึ่งเครื่องวัดแටลกටฮටล์ในเลืටดโดยวิธีเป่าลมหายใจควรต้องผ่านการสอบเทียบ ตามรอบระยะเวลา 6 เดือน โดยที่จะมีสติกเกอร์ติดรับรองไว้ที่ตัวเครื่อง

ปัญหาด้านเครื่องมือตรวจวัดแටลกටฮටล์ เครื่องตรวจวัดแටลกටฮටล์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีจำนวนจำกัด  และเครื่องมือตรวจวัดบางเครื่องถูกใช้งานมากว่า 15 ปีส่งผลให้เกิดการชำรุดระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ได้

ผมไม่ได้มีเจตนาส่งเสริมให้ขี่เມาขับรถ หรือ สร้างความลำบากใจให้ตำรวจ

“….การกระทำของผู้รักษากฎหมายทุกการกระทำต้องมีกฎหมายรองรับ  เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับการกระทำนั้นก็ผิดกฎหมาย….”

 

ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม

 

ที่มา เพจ Pitbullzone