14 ส.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ นายพิภพ ไขแจ้ง อายุ 60 ปี
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านวัดโบสถ์ หมู่ 5 ต.เมืองบางขลัง อ.สวรรคโลก
จ.สุโขทัย ได้ออกมาเปิดเผยถึงสรรพคุณของ “ต้นผ่าด้าม”
ที่ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี ถึงขั้น “ไวอากร้า”
ยังต้องเรียกพี่ หากกินเข้าไป 2 ชั่วโมง จะเห็นแม่บ้านสวยทุกวินาที
คนเตะปี๊บไม่ดังมาแรมปีให้กินสามลูก รับรองเห็นผลพลังเยี่ยงม้าศึก
จนกลายเป็นข่าวโด่งดังมาแล้วนั้น
ล่าสุด นายพิภพ ได้ออกมาเปิดเผยอีกว่า ยังมีพืชสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่สรรพคุณน่าทึ่งยิ่งกว่า เพราะสามารถรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายให้หายได้ เพียงแค่เด็ดกิ่งก้านใบมาต้มดื่มเหมือนน้ำชา โดยกินติดต่อกันไม่กี่เดือนก็จะเห็นผลทันที พืชที่ว่านั้นก็คือ “ต้นอังกาบหนู” เป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณ 1 – 1.5 เมตร ลำต้นเกลี้ยง มีหนามยาวรอบข้อ ออกดอกสีเหลืองตามซอกใบ และปลูกง่ายมาก
“เมื่อหลายปีที่แล้วผมป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 2 เพราะสูบบุหรี่จัด และยาปัจจุบันก็ไม่มีรักษา เลยลองหันมาพึ่งพาพืชสมุนไพรพื้นบ้าน โดย พระครูพิพัฒน์สุตากร เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ แนะนำให้เอายอดใบต้นอังกาบหนูที่มีปลูกอยู่ในวัดไปต้มดื่มกินเช้า กลางวัน เย็น ปรากฏว่าแค่เดือนเดียว อาการหายใจติดขัด เจ็บหน้าอก ปวดหลัง ก็หายทันที พอถึง 3 เดือน ไปเอกซเรย์ปอดที่กรุงเทพฯ ก็พบว่าจุดดำเริ่มจางลง และหายไปในที่สุด” นายพิภพ ระบุ
นายพิภพ กล่าวอีกว่า นอกจากตัวเองกินหายแล้ว ยังมีเพื่อนชื่อแดง ชาว อ.ศรีสำโรง อีกคน ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย เขาให้กลับมาตายที่บ้าน จึงแนะนำให้ลองกินต้นอังกาบหนู ปรากฏว่าผ่านไป 1 เดือน อาการท้องแข็งโตเหมือนคนใกล้คลอดก็ยุบลงอย่างเห็นได้ชัด พอกินมาได้ 6 เดือน ท้องที่เคยโตก็ยุบและหายเป็นปกติ ผ่านมา 3 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ และขับรถไถนาทำงานได้เหมือนเดิม
“อังกาบหนูจะใช้ต้มดื่มเพื่อขับสารพิษตกค้างในร่างกายก็ได้ หรือจะกินใบอ่อนสดๆ เป็นเครื่องเคียงแกล้มลาบก็ดี มีรสออกขมนิดๆ และผมก็กินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นสิบปีแล้ว ทั้งลูกผ่าด้ามและอังกาบหนู ยืนยันรักษาโรคได้จริง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแน่นอน” นายพิภพ กล่าว
ด้าน พระครูพิพัฒน์สุตากร เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ (เมืองโบราณบางขลัง) เปิดเผยว่า เมื่อ 7 ปีที่แล้ว พี่ชายได้ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ลำคอ มีแผลเน่า พูดไม่ได้ ญาติทุกคนคิดว่าตายแน่ แต่ก็มีชีวิตรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ หลังจากให้กินน้ำต้มใบอังกาบหนู ทางสายยางผ่านจมูก เช้า-เย็น เพียงแค่ 3 วัน แผลที่เป็นหนองก็แห้งตกสะเก็ด พอวันที่ 15 ช่องที่เป็นโพรงก็หายสนิท กระทั่ง 6 เดือนผ่านไป ร่างกายของพี่ชายอาตมาก็หายป่วยเป็นปกติ และยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันอายุ 52 ปีแล้ว
“ครั้งแรกที่รู้จักยาตัวนี้ เพราะว่ามีชาวบ้านที่ป่วยเป็นมะเร็งกระดูกระยะที่ 3 ได้ฝันเห็นพญานาคสีทองขดอยู่ในมณฑปโบราณเมืองบางขลัง ตรงกลางลำตัวมีใบไม้เท่าฝ่ามือ และมีฤษีเดินออกมาจากผนังมณฑป บอกว่าให้เอายาตัวนี้ไปกินแล้วจะหายโรค เขาจึงมาถามว่าในมณฑปมียาสมุนไพรอะไรมั๊ย อาตมาจึงว่าไม่มี แต่มีตรงทิศใต้ของมณฑป คือ ต้นอังกาบหนู ลองไปดูว่ามันคล้ายในฝันมั๊ย แล้วเขาก็เด็ดใบไปต้มกิน ปรากฏว่ากินไปได้ 2 เดือน ก็หายโรค และมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ พอหลายคนทราบข่าวก็เลยลองกินตาม นับทั้งหมดได้ 13 คน ที่หายป่วยจากโรคมะเร็งเพราะกินน้ำต้มใบอังกาบหนู” พระครูพิพัฒน์สุตากร กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีระบุว่า ใบและรากของต้นอังกาบหนูมีสรรพคุณมากมาย ทั้งช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ลดไข้ แก้หวัด ขับเสมหะ แก้ปวดฟัน รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน แก้หูอักเสบ แก้อาการท้องผูก อาหารไม่ย่อย แก้พิษงู รักษาโรคคัน กลากเกลื้อน แก้ฝี อัมพาต โรคปวดตามข้อ และปวดหลัง ฯลฯ แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ารักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่ นอกจากผู้ป่วยที่มีประสบการณ์โดยตรงเท่านั้น จึงอยากให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบและเร่งทำการวิจัยต่อไป
ล่าสุด นายพิภพ ได้ออกมาเปิดเผยอีกว่า ยังมีพืชสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่สรรพคุณน่าทึ่งยิ่งกว่า เพราะสามารถรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายให้หายได้ เพียงแค่เด็ดกิ่งก้านใบมาต้มดื่มเหมือนน้ำชา โดยกินติดต่อกันไม่กี่เดือนก็จะเห็นผลทันที พืชที่ว่านั้นก็คือ “ต้นอังกาบหนู” เป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณ 1 – 1.5 เมตร ลำต้นเกลี้ยง มีหนามยาวรอบข้อ ออกดอกสีเหลืองตามซอกใบ และปลูกง่ายมาก
“เมื่อหลายปีที่แล้วผมป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 2 เพราะสูบบุหรี่จัด และยาปัจจุบันก็ไม่มีรักษา เลยลองหันมาพึ่งพาพืชสมุนไพรพื้นบ้าน โดย พระครูพิพัฒน์สุตากร เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ แนะนำให้เอายอดใบต้นอังกาบหนูที่มีปลูกอยู่ในวัดไปต้มดื่มกินเช้า กลางวัน เย็น ปรากฏว่าแค่เดือนเดียว อาการหายใจติดขัด เจ็บหน้าอก ปวดหลัง ก็หายทันที พอถึง 3 เดือน ไปเอกซเรย์ปอดที่กรุงเทพฯ ก็พบว่าจุดดำเริ่มจางลง และหายไปในที่สุด” นายพิภพ ระบุ
นายพิภพ กล่าวอีกว่า นอกจากตัวเองกินหายแล้ว ยังมีเพื่อนชื่อแดง ชาว อ.ศรีสำโรง อีกคน ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย เขาให้กลับมาตายที่บ้าน จึงแนะนำให้ลองกินต้นอังกาบหนู ปรากฏว่าผ่านไป 1 เดือน อาการท้องแข็งโตเหมือนคนใกล้คลอดก็ยุบลงอย่างเห็นได้ชัด พอกินมาได้ 6 เดือน ท้องที่เคยโตก็ยุบและหายเป็นปกติ ผ่านมา 3 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ และขับรถไถนาทำงานได้เหมือนเดิม
“อังกาบหนูจะใช้ต้มดื่มเพื่อขับสารพิษตกค้างในร่างกายก็ได้ หรือจะกินใบอ่อนสดๆ เป็นเครื่องเคียงแกล้มลาบก็ดี มีรสออกขมนิดๆ และผมก็กินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นสิบปีแล้ว ทั้งลูกผ่าด้ามและอังกาบหนู ยืนยันรักษาโรคได้จริง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแน่นอน” นายพิภพ กล่าว
ด้าน พระครูพิพัฒน์สุตากร เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ (เมืองโบราณบางขลัง) เปิดเผยว่า เมื่อ 7 ปีที่แล้ว พี่ชายได้ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ลำคอ มีแผลเน่า พูดไม่ได้ ญาติทุกคนคิดว่าตายแน่ แต่ก็มีชีวิตรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ หลังจากให้กินน้ำต้มใบอังกาบหนู ทางสายยางผ่านจมูก เช้า-เย็น เพียงแค่ 3 วัน แผลที่เป็นหนองก็แห้งตกสะเก็ด พอวันที่ 15 ช่องที่เป็นโพรงก็หายสนิท กระทั่ง 6 เดือนผ่านไป ร่างกายของพี่ชายอาตมาก็หายป่วยเป็นปกติ และยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันอายุ 52 ปีแล้ว
“ครั้งแรกที่รู้จักยาตัวนี้ เพราะว่ามีชาวบ้านที่ป่วยเป็นมะเร็งกระดูกระยะที่ 3 ได้ฝันเห็นพญานาคสีทองขดอยู่ในมณฑปโบราณเมืองบางขลัง ตรงกลางลำตัวมีใบไม้เท่าฝ่ามือ และมีฤษีเดินออกมาจากผนังมณฑป บอกว่าให้เอายาตัวนี้ไปกินแล้วจะหายโรค เขาจึงมาถามว่าในมณฑปมียาสมุนไพรอะไรมั๊ย อาตมาจึงว่าไม่มี แต่มีตรงทิศใต้ของมณฑป คือ ต้นอังกาบหนู ลองไปดูว่ามันคล้ายในฝันมั๊ย แล้วเขาก็เด็ดใบไปต้มกิน ปรากฏว่ากินไปได้ 2 เดือน ก็หายโรค และมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ พอหลายคนทราบข่าวก็เลยลองกินตาม นับทั้งหมดได้ 13 คน ที่หายป่วยจากโรคมะเร็งเพราะกินน้ำต้มใบอังกาบหนู” พระครูพิพัฒน์สุตากร กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีระบุว่า ใบและรากของต้นอังกาบหนูมีสรรพคุณมากมาย ทั้งช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ลดไข้ แก้หวัด ขับเสมหะ แก้ปวดฟัน รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน แก้หูอักเสบ แก้อาการท้องผูก อาหารไม่ย่อย แก้พิษงู รักษาโรคคัน กลากเกลื้อน แก้ฝี อัมพาต โรคปวดตามข้อ และปวดหลัง ฯลฯ แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ารักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่ นอกจากผู้ป่วยที่มีประสบการณ์โดยตรงเท่านั้น จึงอยากให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบและเร่งทำการวิจัยต่อไป