เงินเดือนในมุมต่าง ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง รู้ก่อนจะโดนฝ่ายตรงข้ามเอาเปรียบ

เมื่อเงินเดือนเหมือนกัน
แต่ข้อสังเกตต่างกัน
เงินเดือนจึงเป็นเส้นแบ่งข้าง

ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
โดยไม่มีข้างไหน
ช่วยปรับทัศนคติให้อีกข้างได้
อย่างไรก็ต้องระแวงไว้ก่อนว่า
จะโดน ‘ฝ่ายตรงข้าม’ เอาเปรียบ


นายจ้าง 
คือกลุ่มคนจำพวกอยากได้กำไร
นั่นคือไม่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดแล้ว
แต่จะดิ้นรนเพื่อความมั่งคั่งกว่าที่เป็น

ลูกจ้าง
คือกลุ่มคนจำพวกอยากมีเงินใช้
นั่นคือยังต้องดิ้นรนเพื่อให้พออยู่พอกิน
หรือดิ้นรนเพื่อให้พอกับความอยากได้โน่นนี่นั่น
นี่คือรากความรู้สึก
อันเป็นรากของปัญหา

[นายจ้าง]

ส่วนใหญ่ตั้งต้นคิดถึงเงินเข้าเงินออก
จึงให้ความสำคัญกับตัวเลข
รายได้ต้องมากที่สุด
คือรีดพลังจากลูกจ้างให้มากที่สุด
ส่วนรายจ่ายต้องน้อยที่สุด
คือให้เงินเดือนลูกจ้างน้อยที่สุด

[ลูกจ้าง]

ส่วนใหญ่ตั้งต้นคิดถึงเงินเดือน
เปรียบเทียบกับราคากลางสำหรับตำแหน่งหนึ่งๆ
แล้วความรู้สึกขัดแย้งก็งอกเงยออกมาจากตรงนั้น
เช่น ตำแหน่งเดียวกัน ความสามารถไม่เท่ากัน
ทำไมต้องได้ค่าตอบแทนเท่ากัน?
อยู่ดึกแค่ไหน เหนื่อยสายตัวแทบขาดเท่าใด
อย่างมากก็ได้เป็นโอที
ทำไมไม่ใช่การยกระดับฐานะทางการเงิน?
ถ้าจะให้นายจ้างและลูกจ้างเป็นพวกเดียวกัน
มุมมองและความรู้สึกต้องต่างไป ขุดกันให้ถึงราก

[นายจ้าง]

ต้องมองว่าตัวเอง
มีสิทธิ์แบ่งความรู้สึกเป็นเจ้าของ
และความรู้สึกเป็นเจ้าของก็ไม่มีอะไรดีกว่ากำไร
ใครทำกำไรให้มาก คนนั้นควรได้ส่วนแบ่งมาก
นี่เป็นจิตวิทยาขั้นพื้นฐานที่รู้กันทั่วไป
แต่ไม่ได้เห็นกันทุกที่
เพราะนายจ้างส่วนใหญ่เห็นหัวคนตามตำแหน่ง
ไม่สละเวลามองให้เห็น ‘คน’ ตามความสามารถ
คิดแค่ว่า เงินเดือนเท่ากัน 
ใครทำงานดีกว่า ก็เอาคนนั้นไว้
หรือหนักกว่านั้นคือใครประจบเก่งกว่า ถูกใจกว่า
ก็ค่อยปูนบำเน็จให้คนนั้น

[ลูกจ้าง]

ต้องมองว่าตัวเองกำลังเรียนรู้วิธีเป็นนายจ้าง
พูดง่ายๆ ทุกคนควรตั้งธงว่า
วันหนึ่งจะต้องเป็นเจ้าของให้ได้
ไม่ใช่คิดแต่จะเป็นลูกจ้าง
หวังโอที ฝันถึงโบนัสตลอดไป
เมื่อตั้งธงไว้ว่าจะเป็นนายจ้าง
ถึงจะมององค์กรเป็นโรงเรียน
ที่มีคนออกทุนให้เรียน
ไม่ใช่ทัณฑสถาน
ที่มีแต่ผู้คุมคอยบงการใช้งานนักโทษ
จากนั้นจะเกิดมุมมองตามมาเองว่า
ถ้ารู้วิธีทำให้คนอื่นรวยขึ้นได้
วันหนึ่งก็จะรู้วิธีทำให้ตัวเองรวยขึ้นได้เช่นกัน 
นี่เป็นแบบฝึกหัดของจริง ไม่ใช่จิตวิทยา 
ไม่ใช่การตั้งตารอว่าวันหนึ่งจะมีนายจ้างใจดี
เอาความร่ำรวยมาหยิบยื่นให้ถึงมือ

มองการทำงานอย่างเป็นธรรม
ก็คือมองเห็นธรรมะในที่ทำงาน
แต่คนเกือบทั้งโลกมองงานอย่างไม่เป็นธรรม
จึงเจอแต่ความอยุติธรรมที่น่าโอดครวญร่ำไป
ไม่ว่ากำลังยืนอยู่ที่ฝั่งนายจ้างหรือลูกจ้าง!
.

ขอบพระคุณแหล่งที่มาบทความดีๆ : dungtrin/just-salary