รถสตาร์ตไม่ติด สตาร์ตไม่ได้
ไม่มีเสียงตอบรับ เกิดจากอะไร เหตุการณ์แบบนี้หลายคนอาจเคยเจอมากับตัวเอง
ยิ่งรถสตาร์ตไม่ติดในเวลารีบเร่งด้วยแล้ว มันน่าหงุดหงิดใจเป็นที่สุด
วันนี้เรามีวิธีเช็กสาเหตุหลักที่มักพบบ่อยว่าเกิดจากอะไรจะได้เตรียมใจและรับมือได้ถูก
สำหรับปัญหาหรืออาการถยนต์สตาร์ตไม่ติดที่พบบ่อย มาจาก
4 สาเหตุหลักของรถที่ผ่านการใช้งานมาระยะเวลาหนึ่ง คือ 1. แบตเตอรี่เสื่อม
2. ไดชาร์จเสื่อม 3. มอเตอร์สตาร์ตเสื่อม 4. ระบบไฟฟ้าในรถมีปัญหา
และครั้งนี้กระปุกคาร์ ขอนำเสนอวิธีการตรวจเช็กว่ามาจากสาเหตุใดกันแน่
1. รถสตาร์ตไม่ติดเพราะแบตเตอรี่หมดหรือเสื่อมสภาพ
หากบิดหรือกดปุ่มสตาร์ตแล้วทุกอย่างเงียบสนิท หรือไม่มีแรงพอที่จะสตาร์ตเครื่องยนต์ ระบบไฟต่าง ๆ อ่อน ปัญหามักเกิดจากแบตเตอรี่ไม่มีไฟ หรือเสื่อมสภาพไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ได้นาน อาการเสื่อมก็มีหลายระดับ ถ้าแบตเตอรี่เสื่อมมาก จอดรถทิ้งไว้แค่ 2-3 ชม. ก็อาจสตาร์ตรถไม่ติดเลย
สัญญาณเตือนอาการแบตเตอรี่เสื่อมเบื้องต้นคือ รถเริ่มสตาร์ตยาก มีเสียงแชะ ๆ ลากยาวกว่าจะสตาร์ตติดหลังการจอดรถทิ้งไว้ การแก้ปัญหาเบื้องต้นคือ พ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่นหรือใช้ Power Bank สำหรับจั๊มพ์สตาร์ต
2. รถสตาร์ตไม่ติดเพราะไดชาร์จเสื่อม
อาการคล้ายกับแบตเตอรี่เสื่อม เพราะหน้าที่ของไดชาร์จคือปั่นกระแสไฟเลี้ยงรถยนต์และชาร์จเก็บเข้าแบตเตอรี่ เมื่อไดร์ชาร์จเสื่อมจะไม่สามารถชาร์จไฟให้เพียงพอต่อการใช้งานได้ ไฟในแบตเตอรี่ก็จะถูกดึงมาใช้จนหมดในที่สุด ซึ่งอาการที่เกิดจากไดร์ชาร์จเสื่อมมีจุดสังเกตได้ เช่น รถดับเองขณะรอบต่ำ หรือวิ่ง ๆ อยู่รถดับกลางอากาศ
แต่ถ้าไดชาร์จเสื่อมไม่มาก ยังพอจะชาร์จไฟได้บ้าง (ปกติแรงดันไฟควรอยู่ที่ 13 โวลต์ หากต่ำกว่านี้ แสดงว่าไดร์ชาร์จเสื่อม) หากจอดทิ้งไว้อาจสตาร์ตรถไม่ติดได้เช่นกัน กรณีนี้การแก้ปัญหาเบื้องต้นจะเหมือนกับแบตเตอรี่เสื่อม
นอกจากนี้การหมั่นตรวจสอบแบตเตอรี่อาจแจ้งอาการน่าสงสัยของไดชาร์จได้ หากตาแมวบอกว่ากำลังไฟอ่อน ถ้าแบตเตอรี่ไม่เสื่อม ไฟไม่รั่วลงกราวนด์ ก็อาจหมายถึงไดร์ชาร์จเริ่มเสื่อมสภาพ
หากสตาร์ตรถไม่ติดเลย แบตเตอรี่ยังใหม่ ไฟไม่หมด หรือลองพ่วงแบตเตอรี่ นำแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเปลี่ยนก็ไม่ติด สตาร์ตแล้วยังมีเสียงแชะ ๆ (หรือเงียบสนิทก็ได้) มอเตอร์สตาร์ตอาจมีปัญหา งานนี้ต้องพึ่งรถสไลด์ หรือบริการซ่อมนอกสถานที่
4. รถสตาร์ตไม่ติด เพราะระบบไฟฟ้าหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์มีปัญหา
ในรถยนต์รุ่นใหม่มักจะมีระบบไฟฟ้าและวงจรอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น
แม้จะเกิดขึ้นได้ยากแต่ถ้ารวนมักตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง
(หากเป็นปัญหาที่อุปกรณ์ เช่น กล่องสมองกล) แต่อาการง่าย ๆ
ที่มีโอกาสเกิดได้ก็มีอย่างจอดรถทิ้งไว้นาน หนูเข้ามากัดสายไฟ
การล็อกการทำงานของตัวระบบเองเมื่อมีบางอย่างผิดปกติ (เพื่อลดความเสียหาย)
เป็นต้น
การตรวจเช็กเบื้องต้น หากไฟหรือข้อความบนหน้าปัดโชว์ความผิดปกติ ลองพ่วงแบตเตอรี่แล้วไม่สามารถสตาร์ตรถได้ ไม่มีการตอบสนองอะไรเลยเช่นเดิม คงต้องเรียกรถสไลด์เข้าศูนย์หรืออู่ซ่อม
1. รถสตาร์ตไม่ติดเพราะแบตเตอรี่หมดหรือเสื่อมสภาพ
หากบิดหรือกดปุ่มสตาร์ตแล้วทุกอย่างเงียบสนิท หรือไม่มีแรงพอที่จะสตาร์ตเครื่องยนต์ ระบบไฟต่าง ๆ อ่อน ปัญหามักเกิดจากแบตเตอรี่ไม่มีไฟ หรือเสื่อมสภาพไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ได้นาน อาการเสื่อมก็มีหลายระดับ ถ้าแบตเตอรี่เสื่อมมาก จอดรถทิ้งไว้แค่ 2-3 ชม. ก็อาจสตาร์ตรถไม่ติดเลย
สัญญาณเตือนอาการแบตเตอรี่เสื่อมเบื้องต้นคือ รถเริ่มสตาร์ตยาก มีเสียงแชะ ๆ ลากยาวกว่าจะสตาร์ตติดหลังการจอดรถทิ้งไว้ การแก้ปัญหาเบื้องต้นคือ พ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่นหรือใช้ Power Bank สำหรับจั๊มพ์สตาร์ต
2. รถสตาร์ตไม่ติดเพราะไดชาร์จเสื่อม
อาการคล้ายกับแบตเตอรี่เสื่อม เพราะหน้าที่ของไดชาร์จคือปั่นกระแสไฟเลี้ยงรถยนต์และชาร์จเก็บเข้าแบตเตอรี่ เมื่อไดร์ชาร์จเสื่อมจะไม่สามารถชาร์จไฟให้เพียงพอต่อการใช้งานได้ ไฟในแบตเตอรี่ก็จะถูกดึงมาใช้จนหมดในที่สุด ซึ่งอาการที่เกิดจากไดร์ชาร์จเสื่อมมีจุดสังเกตได้ เช่น รถดับเองขณะรอบต่ำ หรือวิ่ง ๆ อยู่รถดับกลางอากาศ
แต่ถ้าไดชาร์จเสื่อมไม่มาก ยังพอจะชาร์จไฟได้บ้าง (ปกติแรงดันไฟควรอยู่ที่ 13 โวลต์ หากต่ำกว่านี้ แสดงว่าไดร์ชาร์จเสื่อม) หากจอดทิ้งไว้อาจสตาร์ตรถไม่ติดได้เช่นกัน กรณีนี้การแก้ปัญหาเบื้องต้นจะเหมือนกับแบตเตอรี่เสื่อม
นอกจากนี้การหมั่นตรวจสอบแบตเตอรี่อาจแจ้งอาการน่าสงสัยของไดชาร์จได้ หากตาแมวบอกว่ากำลังไฟอ่อน ถ้าแบตเตอรี่ไม่เสื่อม ไฟไม่รั่วลงกราวนด์ ก็อาจหมายถึงไดร์ชาร์จเริ่มเสื่อมสภาพ
3. รถสตาร์ตไม่ติดเพราะไดร์สตาร์ตเสื่อม
หากสตาร์ตรถไม่ติดเลย แบตเตอรี่ยังใหม่ ไฟไม่หมด หรือลองพ่วงแบตเตอรี่ นำแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเปลี่ยนก็ไม่ติด สตาร์ตแล้วยังมีเสียงแชะ ๆ (หรือเงียบสนิทก็ได้) มอเตอร์สตาร์ตอาจมีปัญหา งานนี้ต้องพึ่งรถสไลด์ หรือบริการซ่อมนอกสถานที่
4. รถสตาร์ตไม่ติด เพราะระบบไฟฟ้าหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์มีปัญหา
การตรวจเช็กเบื้องต้น หากไฟหรือข้อความบนหน้าปัดโชว์ความผิดปกติ ลองพ่วงแบตเตอรี่แล้วไม่สามารถสตาร์ตรถได้ ไม่มีการตอบสนองอะไรเลยเช่นเดิม คงต้องเรียกรถสไลด์เข้าศูนย์หรืออู่ซ่อม
ทั้งนี้กรณีรถสตาร์ตไม่ติด อาจจะเกิดปัญหาพร้อมกันมากกว่าหนึ่งกรณี เช่น
แบตเตอรี่และไดชาร์จมีปัญหา (Over Charge) ส่งผลให้กล่องควบคุมเสีย
มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
เมื่อเกิดปัญหาแล้วจำเป็นต้องตรวจเช็กให้ครบถ้วน
และทางที่ดีควรหมั่นสังเกตความผิดปกติหรืออาการของรถสม่ำเสมอ
ซึ่งการบำรุงรักษาตามระยะก็เป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรละเลย
เพราะดีกว่ารอแก้ปัญหาที่อาจส่งผลหรือสร้างความเสียหายได้มากกว่าที่ควรจะเป็น