วิธีป้องกันและกำจัดกลิ่นอับในรถยนต์
รับมือปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ที่มักเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในหน้าฝน
หากดูแลกันสักหน่อยรับรองหมดปัญหารถมีกลิ่นอับ
ไม่ต้องมานั่งทนพะอืดพะอมเหมือนเดิม
ประเทศไทยเรานับว่ามีปัญหาจราจรเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉลี่ยผู้ขับขี่รถต้องใช้เวลาอยู่บน รถยนต์
นานถึงปีละ 56 ชั่วโมง (จากผลสำรวจด้านการจราจร Global Traffic Scorecard
ของ INRIX) นั่นหมายความว่าหากในรถของคุณมีกลิ่นอับ
ก็เท่ากับต้องทนอยู่กับกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในรถนานที่สุดในโลกเช่นกัน..
แต่ปัญหาเหล่านี้แก้ได้ วันนี้เราจึงพูดถึงต้นเหตุ วิธีป้องกัน
และการแก้ปัญหาให้ครบจบในที่เดียว
กลิ่นอับในรถเกิดจากอะไร
ตามหลักวิทยาศาสตร์
กลิ่นอับเกิดจากกลิ่นของสารอินทรีย์ระเหยที่เกิดจากชีวสังเคราะห์ของจุลินทรีย์หรือ
MVOCs (Microbial volatile organic compounds)
สารที่มีกลิ่นอับชื้นที่แรงและสำคัญที่สุดคือ สาร 2,4,6-tribromoanisole
(TBA) สามารถส่งกลิ่นให้จมูกเรารับรู้ได้ด้วยเพียงแค่ความเข้มข้น 30 ส่วนใน
1,000,000,000,000,000 ส่วน (หนึ่งพันล้านล้าน)
โดยตัวการสำคัญที่ทำให้ MVOCs
เจริญเติบโตได้ดีคือน้ำและออกซิเจน
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ช่วงหน้าฝนรถเรามีกลิ่นอับ จากน้ำที่ติดรองเท้า
เสื้อผ้าที่ชื้นแฉะถ่ายความชื้นสู่เบาะและพรม
วิธีแก้ปัญหาก็ชี้เป้าไปที่ทำลาย MVOCs ด้วยการทำความสะอาดหรือไม่ก็กำจัดความชื้น
การแก้กลิ่นอับเชิงป้องกัน
- ใช้พรมยาง เพราะกำจัดความชื้นได้ง่าย โดยปรกติแล้วพรมรถมักจะเป็นกำมะหยี่ซึ่งอมความชื้นสูง หากคุณเปลี่ยนเป็นพรมยาง เมื่อเปียกก็สามารถเช็กให้แห้งโดยง่าย ปัจจุบันมีพรมเข้ารูปตรงรุ่นให้เลือก ผู้เขียนเองได้ลองใช้แล้วลดกลิ่นได้มากทีเดียว
- ใช้ที่หุ้มเบาะแบบหนัง สำหรับผู้ที่รถยนต์เป็นเบาะผ้าช่วงหน้าฝน หากขับคนเดียวเป็นหลัก ก็ใช้ที่รองเบาะเพียงอันเดียว ส่วนใหญ่ที่เป็นปัญหาก็คงเรื่องความไม่สวยงาม เราจึงอยากแนะนำให้มีซื้อติดไว้และใช้ยามเฉอะแฉะ
- เลือกใช้กรองแอร์ป้องกันความชื้น อะไหล่ชื้นนี้ไม่มีผลกับการรับประกันคุณภาพ เราสามารถเลือกเปลี่ยนที่คุณภาพสูงกว่าได้ แถมราคาก็ไม่แพงด้วย
- ติดคิ้วกันสาดกระจก เพราะเมื่อคุณจอดรถไม่ว่าที่ไหนก็แง้มกระจกลงเล็กน้อย ทำให้อากาศหมุนเวียนกลิ่นอับยาก
- ทำเบาะหนังแบบถาวร หากมีกำลังทรัพย์และชื่นชอบในเบาะหนังเดี๋ยวนี้มีร้านฝีมือดี ๆ งานเนี้ยบไม่แพ้ออกมาจากโรงงาน แนะนำหนังสังเคราะห์เพราะดูแลง่ายกว่าหนังแท้ครับ
แก้ปัญหาเมื่อกลิ่นอับมาเยือน
- ทำความสะอาดเบาะ-ซักพรม ต้นตอของกลิ่น
การซักพรมที่เนื้อกำมะหยี่ที่ติดรถ
เนื่องจากส่วนนี้ไม่ต้องสัมผัสผิวเราโดยตรง
จึงอยากแนะนำผงซักฝอกสูตรน้ำที่มีสารจำพวกซิลเวอร์นาโน
เพราะจะฆ่าและยับยั้งแบคทีเรียได้ดี นำมาผสมกับน้ำใช้เพียงเล็กน้อย
นำแปรงขนอ่อนจุ่มและขัด จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดออก
เบาะหนังให้นำผ้าหมาด ๆ
เช็ดให้ทั่ว หากสกปรกมากแนะนำให้ใช้น้ำสบู่กับแปรงสีฟันขัดเบา ๆ
แล้วนำผ้ามาเช็ดออก หากมีรอยปากกาหรือเคมีภัณฑ์อื่น ๆ
นำสเตคลีนป้ายทิ้งไว้สัก 1 นาที แล้วนำผ้ามาขัด ๆ
เบาะผ้า
ต้องเริ่มต้นด้วยการดูดฝุ่นหรือตีเบาะให้ผ้าไม่อมฝุ่นเสียก่อน
จากนั้นเริ่มลงมือซักเบาะ ซึ่งความเป็นด่างสามารถกำจัดกลิ่นอับได้ดีมาก
จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือน้ำสบู่แล้วผสมเบกกิ้งโซดาไปเล็กน้อย
เมื่อขัดเบาะเสร็จก็นำผ้าแห้งเช็ดและซับที่เราทำความสะอาด
หากใช้ไดร์ช่วยเป่าให้แห้งควรระวังอย่าใช้ความร้อนสูงเพราะเบาะจะเสีย
รับรองไม่เหลือกลิ่น
- ล้างตู้แอร์ หากสำรวจแล้วพบว่ามีกลิ่นออกมาจากแอร์ ปัจจุบันสามารถล้างได้โดยไม่ต้องถอดตู้ บางเจ้ามีการส่องกล้องตรวจเช็กความสะอาดด้วย ค่าบริการราว ๆ 500-1,000 บาท
- ตากรถกลางแดดแล้วแง้มกระจก หากรถคุณมีกลิ่นเบา ๆ แค่นี้ก็เพียงพอ
รวมของดับกลิ่นอับในรถ
- ถ่านหุงต้ม หาซื้อง่ายคุณสมบัติดูดกลิ่นได้ดี ดูดความชื้นได้เล็กน้อย ทำให้ดีหน่อยก็นำกระป๋องพลาสติกมาเจาะรูพรุนให้ทั่ว ใช้สัก 1 เดือนก็เปลี่ยนถ่านได้ครับ
- ใบชาตากแห้ง หาซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อเป็นกล่องกระดาษ ราคาประมาณ 60 บาท ใช้ได้ดีทีเดียว
- กากกาแฟตากแห้ง สามารถไปขอที่ร้านกาแฟสด ปัจจุบันบางร้านนำใส่ถุงพร้อมขาย ประมาณ 20-30 บาท
- กระดาษหนังสือพิมพ์ ของดีที่หาง่าย ดูดกลิ่นได้ดี ดูดความชื้นได้ ใช้ประมาณ 3 วันก็เปลี่ยนทิ้งได้
- เบกกิ้งโซดา นำแบ่งใส่ภาชนะแล้วตั้งทิ้งไว้ช่วยดูดกลิ่นอับได้ แถมมีอายุอยู่ได้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี
- กล่องดูดความชื้น ทางเลือกง่ายแต่ก็เปลืองสักนิด อายุการใช้งานราว ๆ 1 เดือน จะเห็นว่าน้ำอยู่ในกล่องเกือบเต็ม ราคาประมาณ 50-100 บาท แพงกว่านั้นไม่แนะนำ
สุดท้ายเราก็อยากแนะนำว่าว่าหากรถมีกลิ่นอับ
บ่งบอกแล้วว่าเริ่มมีเหล่าแบคทีเรียที่มีกลิ่น หากทำความสะอาดใหญ่สักครั้ง
ต่อให้สู้ความชื้นช่วงหน้าฝนก็ยังไม่มีกลิ่น
หากทำทุกอย่างครบแล้วยังมีกลิ่นลองเช็กท่อน้ำทิ้งของแอร์รถดูครับว่าไหลออกนอกตัวรถหรือเปล่า
เพราะเคยมีเคสที่ท่อน้ำแอร์รั่วซึมใต้คอนโซล
กลิ่นอับหายหมดแน่ถ้ากำจัดที่ต้นเหตุ