เปิดรร.ไทยแห่งแรก ที่ไม่ต้องใส่ชุดนักเรียน ไปเรียน

กราบสวัสดีชาวเน็ตที่น่ารักทุกท่าน วันนี้ก็กลับมาพบกับเจ๊ซาวบาทแห่งเพจอัพยิ้มอีกเช่นเคย วันนี้เจ๊ก็ไม่พลาดที่จะมานำเสนอเรื่องราว ที่เกี่ยวกับเรื่องราวสาระกันสักนิดหน่อยนะ สำหรับโรงเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเจ๊ซาวบาทอัพยิ้มต้องขอเกิ่นไว้ก่อนเลยนะคะว่าโรงเรียนดังกล่าวอินเตอร์มากกกก ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบนักเรียนให้เสียเวลา เน้นการพัฒนาบุคคลที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ตามเจ๊ซาวบาทอัพยิ้มมาดูกันดีกว่าจ้า

นี่ึคือสถานศึกษาที่มีชื่อว่า “โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” เป็นโรงเรียนอินเตอร์สุดๆ ทั้งการแต่งกายของนักเรียนและเรื่องระบบการให้ความรู้ ซึ่งเปิดทำการเรียนการสอนเป็นครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา นอกจากจะมีชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยการันตีแล้ว ที่นี่ยังได้เปิดตัวระบบการสอนพร้อมกับหลักสูตรการเรียนการสอนที่ไม่เหมือนโรงเรียนใดในประเทศ จะเป็นอย่างไรบ้างไปชมกันเลย

โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยตั้งอยู่ติดกับคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดรับนักศึกษาได้ 2 รุ่น หลายคนเข้าใจว่าคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์มุ่งเน้นผลิตครู ซึ่งก็ไม่ผิด แต่จริงๆ แล้ว คณะนี้เน้นสร้างบุคลากรที่สามารถเข้าใจความหมายของการเรียนรู้และการศึกษาจากหลากหลายสาขา

แน่นอนว่าหลักสูตรของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ และ หลักสูตรมัธยมของสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ย่อมมีความเชื่อมโยงกัน นักเรียนในโรงเรียนจึงถูกคาดหวังให้เข้าใจความหมายของการเรียนรู้และการศึกษาจากหลากหลายสาขา จึงก่อให้เกิดหลักสูตรที่เน้น การบูรณาการ นั่นเอง ว่าแต่ที่กำลังพูดถึงจะเป็นยังไงนั้น ต้องลองอ่านต่อเรื่อยๆ

ตารางแต่ละวันในโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเข้าแถวเคารพธงชาติ เพราะที่นี่ไม่มีการเข้าแถวตอนเช้า แต่ในทุกวันจันทร์ตอนเช้า จะมีกิจกรรมให้นักเรียนร้องเพลงก่อนเริ่มเรียนในคาบแรก เช่น เพลงยูงทอง
หลักสูตรบูรณาการที่ไม่เหมือนที่ไหน
อาจารย์ศิริรัตน์ ศิริชีพชัยอนันต์ ผู้อำนวยการโรงเรียน และ อาจารย์สิทธิโชค ทับทอง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและกระบวนการเรียนรู้ ได้เล่าถึงหลักสูตรของโรงเรียนว่าเพิ่งมีการเปิดรับนักเรียนรุ่นแรกเมื่อปีการศึกษาที่ผ่านมา เท่ากับว่าในตอนนี้มีเพียงนักเรียนชั้น ม.1 จำนวนประมาณ 100 คน ใน 4 ห้องเรียน และอาจารย์อีกประมาณ 30 ท่าน พร้อมกลุ่มวิชาทั้งหมด 5 วิชาที่นักเรียนจะต้องเรียน ได้แก่
1. กลุ่มประสบการณ์มนุษย์และสังคม
2. กลุ่มวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
3. กลุ่มสุนทรียศิลปะ
4. กลุ่มภาษาและการสื่อสาร
5. กลุ่มสุขภาพและสุขภาวะ

โดยแต่ละกลุ่มวิชา จะสอนประมาณ 2 คาบต่อสัปดาห์ ตกคาบละ 1 ชั่วโมงครึ่ง สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มวิชาที่ทางโรงเรียนเน้นให้เป็นพิเศษคือกลุ่มภาษาและการสื่อสาร นักเรียนจะได้เรียนภาษาอย่างเข้มข้น(ไทย อังกฤษ จีน
คำถามต่อมาคือ หากขึ้น ม.2 ไปแล้ว กลุ่มวิชาไหนที่จะถูกเน้นเป็นพิเศษ? คำตอบคือ หลักสูตรของโรงเรียนในช่วงแรกนั้นจะถูกวางแบบปีต่อปี เนื่องจากเพิ่งมีนักเรียนเพียงรุ่นเดียว การจะวางหลักสูตรปีต่อๆ ไป จำเป็นจะต้องประเมินดูผลการเรียนของเด็กก่อนว่า ผลออกมาเป็นเช่นไร เพราะจะต้องปรับให้เหมาะสมกับเด็กที่สุด นั่นแปลว่าทางโรงเรียนจะต้องดูแลจับตามองนักเรียนอย่างใกล้ชิดเพื่อนำผลสะท้อนนั้นมาสร้างหลักสูตรในปีต่อไป

ที่นี่จะไม่เรียกว่าการสอบ แต่เป็น สัปดาห์การวัดผลและการประเมิน เทอมละ 2 ครั้ง โดยอาจารย์แต่ละกลุ่มวิชาจะออกแบบการวัดผลที่ไม่ใช่เพียงข้อสอบกาชอยซ์ แต่อาจจะวัดผลจากพฤติกรรมในห้องเรียนของนักเรียนคนนั้นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ อาจจะมีสอบบ้างตามความเหมาะสม เช่น มีอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าว่า การประเมินในรายวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ อาจจะให้โจทย์นักเรียนไป แล้วให้นำไปแปลงเป็น Mapping กลับมาส่ง
สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่มีการตัดเป็นเกรด 4 3 2 1 0 แต่จะเป็นคำอธิบายผลการประเมินเพื่อให้ผู้ปกครองได้รับทราบความก้าวหน้าทางการเรียนของบุตรหลาน อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตนักเรียนต้องการนำผลการประเมินนี้ไปสมัครเพื่อเข้าศึกษาที่อื่น ทางโรงเรียนก็สามารถตีผลประเมินกลับมาเป็นเกรดให้ได้อย่างหายห่วง
โดยตารางสอนของที่นี่จะเปลี่ยนทุกเดือน เพราะต้องปรับตามความพร้อมและความเหมาะสมของนักเรียน เช่น ในช่วงเปิดเทอมแรกๆ อาจจะเน้นหนักไปที่กลุ่มวิชาสังคม ทำให้มีคาบเรียนสังคมมากกว่าวิชาอื่น แต่พอกลางเทอม เริ่มเน้นที่วิทยาศาสตร์มากขึ้น ก็จะไปลดคาบเรียนวิชาสังคมแทน

ทำไมจึงไม่ต้องใส่ชุดนักเรียน ?
และคำถามยอดฮิตที่หลายคนต่างพากันสงสัย ทำไมนักเรียนที่นี่ไม่จำเป็นต้องแต่งชุดนักเรียนมาเรียน? ขอบอกว่านี่ไม่ใช่กฎระเบียบข้อบังคับที่มีมาแต่แรก แต่เกิดจากการพูดคุยหารือกันระหว่างครูอาจารย์ ผู้ปกครอง และตัวของนักเรียนเอง ที่มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า การให้นักเรียนได้มีสิทธิ์เลือกเสื้อผ้าชุดไปรเวตเองนั้น เป็นโอกาสที่เด็กจะได้เรียนรู้ผ่านสิ่งที่พวกเขาเลือกและตัดสินใจด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ทุกวันจันทร์และพฤหัสบดีเป็นวันที่นักเรียนจะต้องแต่งชุดนักเรียนมา เพราะมีตลาดนัดภายในมหาวิทยาลัย จะได้แยกออกว่าใครเป็นนักเรียนหรือเป็นบุคคลภายนอก (หรือใครจะใส่ชุดนักเรียนมาทุกวันก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้)
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า การที่นักเรียนใส่ชุดไปรเวตมาโรงเรียน ยิ่งทำให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนว่าบ้านใครมีฐานะมากกว่า ถือเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำในโรงเรียนหรือไม่? ซึ่งอาจารย์ได้ให้คำตอบว่า เท่าที่ผ่านมา ทางโรงเรียนยังไม่พบปัญหานี้เลย เด็กส่วนมากแต่งตัวง่ายๆ เน้นความสุภาพและคล่องตัว ปัญหาบางอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่คิดล่วงหน้าไปก่อนเด็ก
อาจจะมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เช่น เด็กบางคนใส่กางเกงขาสั้นมาเรียน ในขณะที่เด็กบางคนใส่กางเกงขายาว ทำให้ตัวเด็กเองเกิดคำถามว่า แบบไหนถึงเรียกว่าสุภาพกันแน่? ซึ่งทางโรงเรียนจะไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือบังคับ แต่จะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มานั่งคุยกันเพื่อแสดงความเห็นในมุมของตนเอง จนได้ข้อตกลงเป็นที่พอใจร่วมกัน
“Club” หรือชมรม เป็นกิจกรรมที่นักเรียนให้ความสนใจและกระตือรือร้นที่อยากจะเข้าร่วมมากๆ ในช่วงเวลาประมาณบ่าย 2 โมงของแต่ละวัน จะมีกิจกรรมของชมรมต่างๆ หมุนเวียนกันไป เช่น วันอังคาร เป็นชมรมศิลปะ หรือ วันพุธ เป็นชมรมเกี่ยวกับกีฬา ทั้งว่ายน้ำ แบดมินตัน ปิงปอง
วิธีการรับเข้าศึกษา
สำหรับการรับเข้าศึกษานั้น จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อออกข้อสอบ ร่วมกันระดมความคิดและออกแบบเนื้อหา ที่เน้นวัด attitude การแก้ปัญหา และกระบวนความคิด ส่วนนักเรียนที่สนใจจะเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษาหน้า สามารถสมัครได้ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน และเปิดเทอมวันที่ 15 สิงหาคมปีหน้า ค่าเล่าเรียนอยู่ที่ 100,000 บาทต่อปี
สิ่งสำคัญที่่สุดคือ ผู้ปกครองที่ต้องการส่งบุตรหลานเข้าเรียนที่นี่ควรทำความเข้าใจหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนอย่างชัดเจน โดยสามารถมาเข้าร่วมโอเพนเฮาส์เพื่อเยี่ยมชมโรงเรียนได้

เป็นอย่างไรกันบ้างละคะ กับเรื่องราวที่เจ๊ซาวบาทอัพยิ้มนำมาเสนอในวันนี้ เจ๊ว่าแต่ละโรงเรียนก็มีหลายๆโอกาสแบ่งๆกันไป โรงเรียนเช่นนี้ก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับเด็กในอีกหลายๆคน