บ้านพักป่าแหว่งดอยสุเทพ เลื่อนคืนพื้นที่ แถมเข้าอยู่แล้ว 30 ครอบครัว แจ้งไม่ได้มีคำสั่งให้ย้ายออกแต่อย่างใด

บ้านพักป่าแหว่งดอยสุเทพ เลื่อนคืนพื้นที่ แถมเข้าอยู่แล้ว 30 ครอบครัว แจ้งไม่ได้มีคำสั่งให้ย้ายออกแต่อย่างใด

เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ เผยผู้รับเหมาเลื่อนส่งมอบพื้นที่คืนให้ศาล พร้อมแถลงการณ์แสดงความผิดหวัง หลังธุรการศาลยุติธรรม ปฏิเสธให้ภาคประชาชน เข้าสำรวจป่าแหว่ง ดอยสุเทพ ช่วงบ่ายวันนี้ เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ เปิดแถลงข่าวกรณีที่ศาลอุธรณ์ภาค 5 ไม่อนุญาตให้ภาคประชาชน ซึ่งอยู่ในคณะอนุกรรมการศึกษาดำเนินการส่วนของสิ่งปลูกสร้าง

เข้าสำรวจการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการ (อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่) โดยอนุญาตให้เฉพาะหน่วยงานราชการ และนักวิชาการเข้าสำรวจเท่านั้น นายบัณรส บัวคลี่ โฆษกเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ เผยว่า หลังขออนุญาตศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไปตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่ไม่ได้รับการตอบรับที่จะให้เข้าสำรวจ จนกระทั่งเช้าวันนี้มีการประสานกลับมาว่า จะอนุญาตให้เข้าสำรวจเฉพาะข้าราชการและนักวิชาการ จำนวน 17 คนเท่านั้น

ด้านนายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ได้โทรศัพท์ไปสอบถามยังธุรการศาล ถึงกำหนดการที่ส่งมอบพื้นที่คืนให้ศาลในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ จำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อน ส่วนที่มีข้าราชการเข้าพักอาศัยอยู่กว่า 30 ครอบครัวนั้น ธุรการศาลแจ้งว่ายังไม่ได้มีคำสั่งให้ย้ายออกแต่อย่างใด มองว่าเป็นการเพิกเฉยต่อคำสั่ง ต่อคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่สั่งการไว้ว่าจะไม่ให้ใครเข้าไปอยู่

ด้านรองศาสตราจารย์ สุจิตร พิตรากูล นักวิชาการด้านธรณีวิทยามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า วันนี้มาเพื่อเก็บตัวอย่างของหิน และดินไปบางส่วนเพื่อนำมาประกอบรายงาน เพราะพื้นที่ก่อสร้างลาดชันเกิน 30 องศา เสี่ยงต่อการพังทลายแน่นอน ส่วนแสงไฟที่เปิดสว่างในช่วง 2 วันนี้ คาดว่าอยู่ในช่วงที่ผู้รับเหมาเร่งก่อสร้าง พร้อมทดสอบระบบน้ำ-ไฟ ก่อนส่งมอบอาคารบ้านพักจำนวน 45 หลัง และอื่นๆ ให้ศาลอุธรณ์ภาค 5

โครงการบ้านพักตุลาการริมดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ จุดประกายคำถามถึงความเท่าเทียมในการดำเนินนโยบายทวงคืนผืนป่าของ คสช. และระดับความกระตือรือร้นของหน่วยงานราชการในการรักษาพื้นที่ป่า ขณะที่ภาคประชาสังคมรุกให้ “รื้อสถานเดียว” หากพิจารณาจากถ้อยแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.)

ต่อกรณีนี้ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นความหวังอันริบหรี่ที่ความต้องการของภาคประชาสังคมจะได้รับการตอบสนอง แม้จะชี้ให้เห็นว่าโครงการนี้เกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลทหารจะเข้ามารับหน้าที่ แต่หัวหน้า คสช.ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้รื้อโครงการที่ใช้งบประมาณของรัฐบาลก่อสร้างไปจนเกือบจะแล้วเสร็จ เพราะเกรงจะเกิดการฟ้องร้องของผู้รับเหมาก่อสร้างที่ทำสัญญากับรัฐ

และยังเรียกร้องให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่าเดินขบวนประท้วง แต่ได้มอบหมายให้ คสช. แม่ทัพภาคที่ 3 กับกระทรวงมหาดไทยไปหาทางทำความเข้าใจกับผู้ไม่เห็นด้วยแทน อรนุช ผลภิญโญ นักต่อสู้หญิงเพื่อสิทธิที่ดินแห่งภาคอีสาน

ทวงคืนผืนป่าชัยภูมิ: รัฐบาลทหารระรานชาวบ้าน? พบกะโหลกมนุษย์ อาจโยงเหตุนักต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดิน จ.ชัยภูมิหายตัว

นายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ บอกกับบีบีซีไทยเมื่อวันที่ 12 เม.ย. ว่า “ท่าทีดังกล่าวของรัฐบาลดูย้อนแย้งกับนโยบายทวงคืนผืนป่าที่ คสช. ประกาศไว้เมื่อก้าวสู่อำนาจในปี 2557 ซึ่งกำหนดว่าจะคืนผืนป่าให้ได้ 40% ตามแผนแม่บท” นายธีระศักดิ์ ยืนยันว่า โครงการก่อสร้างบ้านพักตุลาการเป็นการรุกพื้นที่ป่าดั้งเดิม

ซึ่งเป็นแนวเขตแดนที่ภาคประชาสังคมและกองทัพซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่นี้ทำสัญญาร่วมกันไว้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว  “ขณะนี้กลุ่มเครือข่ายกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการลงพื้นที่สำรวจแนวป่าเพื่อชี้ให้เห็นว่า อาคารชุด 9 แห่งและบ้านพักตุลาการ 45 หลังได้ล้ำเข้าไปในแนวเขตป่าดั้งเดิม” นายธีระศักดิ์กล่าวโดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเพื่อนำเสนอต่อแม่ทัพภาคที่ 3

ล่าสุดในวันนี้ (20 เม.ย.) ทางเครือข่ายฯ ร่วมกับภาคประชาสังคม ธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่ ส่วนอำนวยการ สำนักงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ และโครงการชลประทานเชียงใหม่ ได้มีความเห็นร่วมกัน 4 แนวทาง ประกอบด้วย เสนอให้คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 48 แห่ง พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561

เป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ และประกาศให้พื้นที่โครงการก่อสร้างดังกล่าวเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ให้ระงับทุกกิจกรรมในพื้นที่ดังกล่าว โดยใช้แนวเขตป่าดั้งเดิมเป็นเส้นกำหนดเขต ให้รัฐบาลจัดสรรพื้นที่แห่งใหม่ และงบประมาณเพื่อก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างในราชการสำนักงานศาลยุติธรรมทดแทน

ในพื้นที่ส่วนที่สำนักงานศาลยุติธรรมไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว

ตามข้อ 1 ให้ส่งคืนพื้นที่ให้กรมธนารักษ์เพื่อพิจารณาอนุญาตให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้เพื่อประกาศเป็นเขตอุทยาน หรือพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป ให้มีการประกาศเป็นทางการต่อสาธารณะ ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อเป็นสัญญาประชาคม ว่า จะไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ราชพัสดุที่เป็นป่ารอยต่อ

ตามแนวป้องกันระหว่างพื้นราบกับเขตอุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย โดยจะประกาศเขตอุทยานแห่งชาติคลุมลงมาให้เป็นป่าผืนเดียวกันในที่สุด อย่างไรก็ตาม ในการหารือดังกล่าวไม่มีตัวแทนจากฝ่ายศาลมาร่วมการประชุม นายธีระศักดิ์ระบุว่า จะนำผลการหารือถึงแนวทางดังกล่าวแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีก่อนวันที่ 29 เม.ย. นี้ ยื่นคำขาด “ต้องรื้อสถานเดียว” ถ้อยแถลงล่าสุดของเครื่อข่ายและพันธมิตร

เป็นการตอกย้ำข้อเรียกร้องเดิมๆ ที่เป็นคำขาดไปก่อนหน้านี้ ซึ่งต้องการให้รื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง ที่รุกล้ำเข้าไปในเขตแนวป่าดั้งเดิมเพียงสถานเดียว เพื่อปรับพื้นที่และฟื้นฟูป่าให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม เพราะโครงการที่ก่อสร้างไปแล้วนี้นอกจากจะก่อให้เกิดทัศนอุดจาดแล้ว ยังรบกวนระบบนิเวศ และจะทำให้เกิดความเดือดร้อนจากการไหลบ่าของน้ำป่า

กับจะทำให้เกิดมลพิษต่อแหล่งน้ำดิบจากการที่หน้าดินที่ถูกเปิดไว้จากการก่อสร้าง จะถูกชะล้างลงมาพร้อมน้ำฝนที่จะตกมาในหน้าฝน ผู้คัดค้านโครงการนี้อ้างว่าในสายตาของชาวเชียงใหม่ถือเป็นโครงการที่ถูกสาปแช่ง และไม่เป็นที่ต้องการ ขณะที่นางวัฒนา วชิโรดม ที่ปรึกษาสมาคมอุทยานแห่งชาติ และ เลขาธิการเครือข่ายการจัดการวิกฤติป่าและน้ำประกอบด้วย 13 องค์กรทั่วประเทศ บอกกับกรุงเทพธุรกิจว่าโครงการนี้จะเป็น “ตราบาป” ต่อสถาบันยุติธรรมตลอดไป ทั้งยังตั้งคำถามว่าหากผู้ใช้พื้นที่ไม่ใช่ศาล

แล้วกรมธนารักษ์จะอนุญาตให้ใช้พื้นที่เพื่อการนี้หรือไม่ ด้านกลุ่มกรรมาธิการสถาปนิกผังเมือง (ไทย) ล้านนาและกรรมาธิการสถาปนิกล้านนา ต่างออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยโดยยกเหตุผลทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม-วัฒนธรรม การออกแบบผังเมือง วิสัยทัศน์การพัฒนาเมือง รวมไปถึงมิติด้านภัยพิบัติ ขณะที่ภาคส่วนอื่น ๆ ของสังคมล้วนแสดงออกทางโซเชียลมีเดียไปในทำนองเดียวกัน

สนง.ศาลยุติธรรมย้ำรื้อไม่ได้ ในการประชุมของฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเปิดเป็นเวทีสาธารณะเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา ที่มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ ตัวแทนศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งจะเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากโครงการบ้านพักข้าราชการนี้ แจ้งยกเลิกการเข้าร่วมกะทันหัน ขณะที่สำนักงานศาลยุติธรรมได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า

ไม่อาจยุติและรื้อถอนโครงการได้เพราะจะถูกคู่สัญญาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย และจะถูกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการหาผู้รับผิดชอบตามกฎหมายด้วย อย่างไรก็ดี นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการ สนง. ศาลยุติธรรมระบุว่า คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมมีมติให้รับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายและมีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังรัฐบาลเพื่อให้เป็นผู้พิจารณาดำเนินการต่อไป

เป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมจริงหรือ? ท่ามกลางข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมของโครงการนี้ที่ได้รับความเห็นชอบมาตั้งแต่รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ในปี 2548 ในขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม และเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2557 ยกเลิกโครงการ แต่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่ผ่านมาว่าโครงการดำเนินไปอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ปฏิบัติของราชการ โดยที่ดินที่ใช้ก่อสร้างบ้านพักตุลาการดังกล่าวนั้น เดิมเป็นที่ดินของกรมป่าไม้ แต่เนื่องจากมีสภาพเป็น “ป่าเสื่อมโทรม” กองทัพภาคที่ 3 จึงขอใช้สถานที่เพื่อฝึกกำลังพล ต่อมาในปี 2500 กรมที่ดินได้ออกเอกสารหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง

หรือ นสล. 394/2500 จำนวน 23,787 ไร่ เพื่อให้กระทรวงกลาโหมใช้ในราชการ โดยกองทัพภาคที่ 3 ได้ไปขอขึ้นทะเบียนการใช้ประโยชน์กับกรมธนารักษ์ ต่อมาในปี 2540 สำนักอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ได้ทำเรื่องขอแบ่งใช้ประโยชน์พื้นที่บางส่วน และกองทัพบกได้อนุมัติให้ใช้พื้นที่ 143 ไร่ได้ในปี 2547 โดยกองทัพได้ทำเรื่องส่งคืนพื้นที่ตามแปลงที่ดินนั้นให้กรมธนารักษ์

จากนั้นในปี 2549 กรมธนารักษ์ออกหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินราชพัสดุดังกล่าว และต่อมากระทรวงการคลังได้อนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้พื้นที่ก่อสร้างที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บ้านพัก และอาคารชุดสำหรับข้าราชการตุลาการ ซึ่งทั้งหมดเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การปฏิบัติของทางราชการ จากนั้นในปี 2556 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้รับงบประมาณ

จึงเริ่มเปิดพื้นที่ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ แต่เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพยืนยันว่า “สิ่งก่อสร้างที่รุกล้ำเข้าไปในเขตป่าดั้งเดิมนั้น แม้จะเป็นที่ราชพัสดุ แต่ก็ไม่ใช่พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม” ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมนั้น คือแนวพื้นที่ราบที่ปัจจุบันได้กลายเป็นพื้นที่ของสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี

ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ไปแล้ว และรวมถึงพื้นที่บางส่วนของโครงการสร้างอาคารที่ทำการของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในพื้นที่ราบด้านล่าง ไม่ใช่ส่วนบ้านพักตุลาการที่อยู่บนริมดอยสุเทพที่สร้างทัศนอุดจาด