เปิดให้ชมถึงข้างใน ‘ทรัมป์’ เอาใจ ‘คิมจองอึน’ อวดรถประจำตำแหน่งมูลค่า 51 ล้านบาท

เปิดให้ชมถึงข้างใน ‘ทรัมป์’ เอาใจ ‘คิมจองอึน’ อวดรถประจำตำแหน่งมูลค่า 51 ล้านบาท


ทรัมป์ อวดรถประจำตำแหน่งมูลค่า 51 ล้าน ให้ คิมจองอึน ชมกันใกล้ ๆ เปิดให้ดูถึงข้างใน ระหว่างการเจอกันครั้งแรกที่สิงคโปร์ จบลงด้วยดีสำหรับการประชุมระหว่าง 2 ผู้นำ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ณ โรงแรมคาเปลลา ประเทศสิงคโปร์ วานนี้ (12 มิถุนายน 2561) ที่ต่างก็ทิ้งอดีตแห่งความขัดแย้งไว้เบื้องหลัง นำไปสู่การร่วมลงนามในข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ ที่มุ่งไปในเรื่องของการปลดอาวุธนิวเคลียร์ เดินหน้าสู่สันติภาพ

ขณะที่ต่อมาเว็บไซต์เดอะเทเลกราฟ ก็ได้มีรายงานเพิ่มเติมถึงบรรยากาศระหว่าง 2 ผู้นำ ที่นอกจากจะมีการจับมือกันครั้งแรกก่อนเจรจา พากันไปเดินเล่นในสวนด้วยท่าทีผ่อนคลายกันทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ทรัมป์ ก็ยังได้พา คิมจองอึน ไปชมรถประจำตำแหน่งของเขา พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เปิดประตูรถให้ผู้นำเกาหลีเหนือเข้าไปชมสภาพภายในรถอย่างใกล้ชิดด้วย

โดยรถประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หรือที่รู้จักในชื่อ คาดิแลค วัน (Cadillac One) และ เดอะ บีสต์ (The Beast) คันนี้ นับเป็นหนึ่งในสุดยอดการรักษาความปลอดภัยที่มาพร้อมกับน้ำหนัก 8 ตัน เทียบเท่าเครื่องบินโบอิ้ง 747 ความสามารถของรถคันนี้ไม่ได้กันเพียงกระสุนปืนกับกระสุนเจาะเกราะเท่านั้น แต่ยังกันได้แม้กระทั่งแรงระเบิด ประตูรถหนา 8 นิ้วก็ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันบุคคลสำคัญในรถจากการโจมตีด้วยเคมีและทางชีวภาพ เปรียบดังรถถังขนาดย่อม ๆ ที่พร้อมอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ยิ่งไปกว่านั้นภายในรถยังมีการติดตั้งอาวุธอื่น ๆ รวมถึงระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียม เพื่อให้มั่นใจว่าประธานาธิบดีจะอยู่ในการติดต่อตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการสำรองเลือดกรุ๊ปเดียวกับประธานาธิบดีไว้เผื่อกรณีต้องให้เลือดฉุกเฉินด้วย โดยจากข้อมูลของเว็บไซต์เดลี่เมล ระบุว่า รถประจำตำแหน่งของทรัมป์คันนี้ มีมูลค่าสูงถึง 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 51 ล้านบาท) และเมื่อดูจากสีหน้ายิ้มแย้มของคิมจองอึนหลังการชมรถคันนี้แล้ว ก็ทำให้รู้ว่าเขาประทับใจรถคันนี้ไม่ใช่น้อย

เรื่องการป้องกันภัยจากอาวุธต่างๆ ที่ถูกพัฒนาให้ดีมากยิ่งขึ้น สามารถป้องกันได้ทั้งอาวุธชีวภาพ ระเบิดแสวงเครื่อง และกักกระสุนได้อีก ต่อมาคือในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน เกิดท่านผู้นำได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในรถยนต์คันนี้ยังมีถุงเลือดสำรองไว้ด้วย เรียกว่ารักษาพยาบาลกันแบบด่วนจี๋เลยทีเดียว

ไม่ใช่ว่ารถยนต์ประจำตำแหน่งของท่านทรัมป์จะเอาแต่ปกป้องอันตรายจากผู้ไม่หวังดีได้อย่างเดียว ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าอสูรร้าย จะยอมเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวได้อย่างไร ไหนๆ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นบอดี้การ์ดผู้นำประเทศทั้งที รถคันนี้จึงสามารถยิงแก๊สน้ำตาเข้าสู้ได้ด้วยนะ อย่าแหยมเชียว คุณสมบัติของเจ้าคาดิลแลค วัน ยังไม่หมดแค่ที่บอกมา สิ่งที่รถยนต์คันนี้ถูกสร้างมาให้พิเศษกว่ารถยนต์ทั่วไปอีกก็คือประตูและหน้าต่างที่มีน้ำหนักมากและหนาสุดๆ

ซึ่งวางใจได้เลยว่าจะเป็นกระสุนชนิดใดก็ไม่สามารถเจาะรถยนต์คันนี้ได้แน่นอน อย่างสุดท้ายที่สำคัญพอๆ กันก็คือเรื่องของโครงสร้างรถคันนี้ เห็นเป็นลีมูซีนดูหรูหราก็จริง แต่วัสดุที่ใช้ประกอบมีความแข็งแกร่ง คุณภาพเทียบเท่ารถถัง ภายนอกเป็นโทนสีดำ-เงิน เหมือนคันที่โอบาม่าเคยใช้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ แต่คันนี้ศักยภาพนั้นมีมากขึ้นกว่าเดิม

ทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง ทรัมป์-คิมจองอึน มุ่งสู่สันติภาพ กับ 4 ประเด็นในข้อตกลง เปิด 4 ประเด็นสำคัญ ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ และ คิมจองอึน ผู้นำ 2 ชาติลงนามร่วมกัน เดินหน้าสู่สันติภาพ ลั่นขอทิ้งอดีตที่เคยขัดแย้งไว้เบื้องหลัง จากนี้โลกจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

นับเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับช่วงเวลาของสันติภาพที่โลกเฝ้ารอ หลังจากที่ คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ตกลงประชุมเจรจาร่วมกันครั้งแรก ณ โรงแรมคาเปลลา ประเทศสิงคโปร์ ในวันนี้ (12 มิถุนายน 2561) ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ได้เกิดช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ผู้นำจากทั้ง 2 ประเทศจับมือกัน พร้อมแสดงท่าทีในเชิงบวก ก่อนที่การประชุมจะเริ่มต้นขึ้น

ขณะที่ล่าสุด สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า หลังจากการเจรจากันนานถึง 5 ชั่วโมง ในที่สุดผู้นำจากทั้ง 2 ชาติก็ได้ทำพิธีลงนาม ในเอกสารให้คำมั่นเพื่อร่วมมือกันมุ่งไปสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ในคาบสมุทรเกาหลีเหนือ โดยในกระบวนการเหล่านี้สหรัฐอเมริกาก็ยินดีให้หลักประกันด้านความมั่นคงแก่เกาหลีเหนือด้วย

สำหรับข้อตกลงสำคัญที่ทั้งคู่ลงนามร่วมกัน ตามรายงานจากเว็บไซต์เดอะเทเลกราฟ ระบุดังนี้

– สหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ มีพันธกิจในการสร้างความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ระหว่าง 2 ชาติขึ้น ตามความปรารถนาของประชาชนจากทั้ง 2 ชาติ เพื่อสันติภาพและความมั่งคั่ง

– สหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ จะร่วมกันในความพยายามสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในคาบสมุทรเกาหลี

– เกาหลีเหนือมุ่งมั่นในการดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ในคาบสมุทรเกาหลี เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงการลงนามในปฏิญญาปันมุนจอม เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561

– สหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ จะร่วมกันในการค้นหาเชลยศึก/ผู้ที่สูญหายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงดำเนินการส่งคืนร่างของผู้ที่ระบุตัวตนได้แล้วโดยทันที

โดย ทรัมป์ ได้กล่าวหลังการประชุมครั้งประวัติศาสตร์นี้ว่า “ผมคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเกาหลีเหนือ รวมถึงคาบสมุทรเกาหลีจะแตกต่างออกไปจากในอดีตอย่างมาก” นอกจากนี้ยังระบุว่า “เราได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวของแต่ละฝ่าย รวมถึงประเทศของพวกเรา และผมก็ได้รู้แล้วว่าเขา (คิมจองอึน) เป็นคนที่มีความสามารถอย่างมาก”

โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างประวัติศาสตร์ จับมือ คิมจองอึน ในสิงคโปร์ พร้อมเดินหน้าสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์ และอาจจะมีการเจรจาสงบศึก 2 เกาหลี วันที่ 12 มิถุนายน 2561 สำนักข่าวเดอะการ์เดี้ยน รายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และนายคิมจองอึน ผู้นำของเกาหลีเหนือ ได้พบปะพูดคุยและจับมือกันที่โรงแรมคาเปลล่า บนเกาะเซนโตซ่า ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งการพบกันครั้งนี้ เป็นการพบกันครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและผู้นำเกาหลีเหนือ

ทั้งสองคนได้จับมือกันบนบันไดหน้าโรงแรม และให้ช่างภาพถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ซึ่งการจับมือครั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จับมือคิมจองอึนด้วยความเคารพและระมัดระวังตัว แตกต่างจากการพบปะผู้นำคนอื่น ๆ ของโลก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนได้พูดคุยกับสื่อ ก่อนที่จะมีการพูดคุยกันแบบส่วนตัว โดยที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาเองมั่นใจว่าการพูดคุยในครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และเกาหลีเหนือกับสหรัฐอเมริกาก็จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้านนายคิมจองอึน กล่าวว่า กว่าที่จะมาถึงจุดนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และบอกว่า การปฏิบัติและอคติเดิม ๆ ถือได้ว่าเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง ทว่าในตอนนี้ เราได้เอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นและเราได้มายืนในจุดนี้ ด้านสำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ทั้งสองประเทศจะมีการพูดคุยกันเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด รวมถึงมาตรการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ รวมถึงอาจจะมีการพูดถึงการสิ้นสุดสงครามเกาหลี ซึ่งในปี 1950-1953 นั้น ทั้งสองเกาหลีได้เซ็นสัญญาหยุดยิง แต่ไม่มีการเจรจายุติสงครามอย่างจริงจัง