น้ำมันหมูของดีรุ่นคุณตาคุณยาย ที่ถูกใครๆหลงลืม
หรือเข้าใจผิดมานาน ตอนนี้กำลังกลับมาได้รับความสนใจ
ของผู้บริโภคในการนำมาประกอบอาหารอีกครั้ง
จนทำให้ขณะนี้ “คนรุ่นใหม่” ที่ชอบทำอาหาร ก็หันมาเลือกใช้น้ำมันหมูนำมาประกอบอาหารแทนน้ำมันพืชกันมากขึ้น เพราะตอนนี้มีข้อมูลมากมายที่ออกมายืนยันว่า”น้ำมันหมู” ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจกันผิดๆ
“น้ำมันหมู” เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติแท้ๆ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลดี (HDL) แถมทนต่อความร้อน จึงไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นตัวร้ายก่อมะเร็งและโรคหัวใจ
แม้แต่สื่อต่างประเทศอย่าง “เดอะวอชิงตัน โพสต์” ตีพิมพ์บทความ Lard may not be as bad for your health as the fats detractors say ระบุว่า น้ำมันหมูเป็นไขมันดี และอย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายเท่าไขมันทรานซ์ในมาการีนหรือน้ำมันพืช ซึ่งไขมันทรานซ์นี่แหละที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง ซึ่งล่าสุดสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ได้ประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์ เป็นส่วนผสมการผลิตอาหารเพื่อมนุษย์รับประทานแล้ว
ขณะที่ Linda Prout นักโภชนาการชาวสหรัฐอเมริกา เจ้าของเว็บไซต์ด้านสุขภาพ www.lindaprout.com ก็ได้เขียนบทความ Pork and Lard: How To Choose Healthy Versions ระบุว่า น้ำมันหมูนอกจากจะไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแล้ว ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่จะมาใช้ปรุงอาหารแทนน้ำมันพืชและเนย
เนื่องจากน้ำมันหมูมี stearic acid ซี่งเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว ที่ช่วยลดการดูดซึมคลอเลสเตอรอลและลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) ที่ทำให้เลือดไม่เหนียวข้น
สำหรับหลายคนอาจยังกังขาว่า “น้ำมันหมู” ทำจากสัตว์จะดีกว่าน้ำมันที่ทำจากพืชได้อย่างไร สามารถอธิบายเหตุผลง่ายๆได้ว่าเพราะ “น้ำมันหมู” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง
โดยใช้กระบวนการเจียวด้วยความร้อนเท่านั้น จึงปราศจากกระบวนการผลิตทางเคมี ทั้งให้ความหอมสำหรับการปรุงอาหารได้ดีกว่า แตกต่างจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีทั้งกลั่น ฟอกสี และแต่งกลิ่น และเมื่อนำมาปรุงอาหารจะเกิดการแตกตัวเป็นสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
จากข้อมูลยืนยันเรื่องความดีของ “น้ำมันหมู” จึงทำให้กระแสตอบรับการนำ “น้ำมันหมู” มาประกอบอาหารกำลังกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะในแง่ของความอร่อยสำหรับคนรุ่นตายายหรือรุ่นพ่อแม่ต่างรู้ดีว่า น้ำมันหมูมีความหอมเหมาะกับการปรุงอาหารในสไตล์คนไทยมากกว่าน้ำมันพืช
แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันชนิดไหน เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย ก็ควรรับประทานน้ำมันแต่เพียงพอดี และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า
แหล่งที่มา : siamvariety
จนทำให้ขณะนี้ “คนรุ่นใหม่” ที่ชอบทำอาหาร ก็หันมาเลือกใช้น้ำมันหมูนำมาประกอบอาหารแทนน้ำมันพืชกันมากขึ้น เพราะตอนนี้มีข้อมูลมากมายที่ออกมายืนยันว่า”น้ำมันหมู” ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจกันผิดๆ
“น้ำมันหมู” เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติแท้ๆ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลดี (HDL) แถมทนต่อความร้อน จึงไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นตัวร้ายก่อมะเร็งและโรคหัวใจ
แม้แต่สื่อต่างประเทศอย่าง “เดอะวอชิงตัน โพสต์” ตีพิมพ์บทความ Lard may not be as bad for your health as the fats detractors say ระบุว่า น้ำมันหมูเป็นไขมันดี และอย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายเท่าไขมันทรานซ์ในมาการีนหรือน้ำมันพืช ซึ่งไขมันทรานซ์นี่แหละที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง ซึ่งล่าสุดสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ได้ประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์ เป็นส่วนผสมการผลิตอาหารเพื่อมนุษย์รับประทานแล้ว
ขณะที่ Linda Prout นักโภชนาการชาวสหรัฐอเมริกา เจ้าของเว็บไซต์ด้านสุขภาพ www.lindaprout.com ก็ได้เขียนบทความ Pork and Lard: How To Choose Healthy Versions ระบุว่า น้ำมันหมูนอกจากจะไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแล้ว ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่จะมาใช้ปรุงอาหารแทนน้ำมันพืชและเนย
เนื่องจากน้ำมันหมูมี stearic acid ซี่งเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว ที่ช่วยลดการดูดซึมคลอเลสเตอรอลและลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) ที่ทำให้เลือดไม่เหนียวข้น
สำหรับหลายคนอาจยังกังขาว่า “น้ำมันหมู” ทำจากสัตว์จะดีกว่าน้ำมันที่ทำจากพืชได้อย่างไร สามารถอธิบายเหตุผลง่ายๆได้ว่าเพราะ “น้ำมันหมู” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง
โดยใช้กระบวนการเจียวด้วยความร้อนเท่านั้น จึงปราศจากกระบวนการผลิตทางเคมี ทั้งให้ความหอมสำหรับการปรุงอาหารได้ดีกว่า แตกต่างจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีทั้งกลั่น ฟอกสี และแต่งกลิ่น และเมื่อนำมาปรุงอาหารจะเกิดการแตกตัวเป็นสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
จากข้อมูลยืนยันเรื่องความดีของ “น้ำมันหมู” จึงทำให้กระแสตอบรับการนำ “น้ำมันหมู” มาประกอบอาหารกำลังกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะในแง่ของความอร่อยสำหรับคนรุ่นตายายหรือรุ่นพ่อแม่ต่างรู้ดีว่า น้ำมันหมูมีความหอมเหมาะกับการปรุงอาหารในสไตล์คนไทยมากกว่าน้ำมันพืช
แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันชนิดไหน เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย ก็ควรรับประทานน้ำมันแต่เพียงพอดี และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า
แหล่งที่มา : siamvariety