[CR]รีวิว งานแต่งแบบล้านนา+ยิว บ้านๆ จัดงาน และควบคุมการผลิตโดยเจ้าสาว ^_^

สวัสดีคะ ขอเกริ่นก่อนเลยนะค่ะว่าเพิ่งเขียนกระทู้ครั้งแรก และอยากจะแชร์ประสบการณ์การจัดงานแต่งงานของตัวเองคะหากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ด้วยนะค่ะ สำหรับงานแต่งของเราเล็กๆ และเน้นจัดตกแต่งเองเกือบทั้งหมด (โดยเจ้าสาวเองคะ)

1. ตรีมงานอยากได้เป็นแบบล้านนา พิธีการก็แบบล้านนา (จ.พะเยา) และต้องแทรกพิธีการทางศาสนายิวเข้าไปด้วย เตรียมงานเรื่อยๆ คิดอะไรได้ก็ทำทีละเล็กละน้อย เวลาเตรียมงานประมาณ 5 เดือนเห็นจะได้ เพราะบางอย่างทำเองเกือบทั้งหมด เริ่มจากการร่างแบบว่าอยากให้งานออกมายังไง เราก็ทำคร่าวๆ ใน power point และวาดเองบ้าง จัดแจงว่าจะเอาฉากอะไรไว้ที่จุดไหนของบ้าน และเตรียมแต่ละจุดว่าต้องการตกแต่งแบบไหน เสร็จแล้วก็ลงรายละเอียดว่าส่วนที่ตกแต่งต้องทำยังไงอะไรบ้าง จากนั้นก็หาวัสดุ อุปกรณ์ที่จะทำเป็นชิ้นงาน มอบหมายงานให้ใครพอจะช่วยได้บ้าง ก็จะมีเรา และแฟนพี่ชายที่คอยช่วยทำตลอด 5 เดือน เราก็หาร้านดอกไม้ปลอมเพื่อมาประดับตกแต่ง เพราะเรายังไม่เคยจัดพวกดอกไม้เลย ก็เอาดอกไม้ปลอม อาจทำทิ้งไว้ เพราะทุกอย่างเราทำเองทั้งหมด เลยต้องลองผิดลองถูกกันไป แก้ไขสถานการเฉพาะหน้ากันไปค่ะ ตามภาพประกอบเลยค่ะ
2. ลำดับพิธีการ/ พิธีกร  พูดถึงพิธีการล้านนาก่อน เราตัดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออก + เราต้องแทรกพิธีการทางศาสนายิวเข้าไปด้วย และด้วยเวลาแค่ครึ่งวัน สำหรับพิธีการ ซึ่งตอนเย็นเราก็ต้องไปที่โรงแรมที่เชียงราย เพื่อจัดงานเลี้ยงเย็นจะมีแค่เพื่อนๆ แฟน (แต่งแบบฮาร์ดคอมากๆ ด้วยเวลาที่จำกัด แต่พ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไร) สำหรับส่วนที่เราตัดก็จะมี ประตูเงิน ประตูทอง และการเลี้ยงพระเช้า ซึ่งเราก็ศึกษาประเพณีงานแต่งแบบล้านนาจริงๆ เขาไม่มี ส่วนพิธีกร เราก็เอาเพื่อนแฟนในการแปล และเพื่อนเราอีก 2 คน เป็นพิธีกรพูดภาษาล้านนา อีกคนภาษาไทย
กำหนดการงานแต่งบายศรีสู่ขวัญ/พิธีศาสนายิว

9.00-9.30 น.     แห่ขันหมาก มาถึงประตูรั้วหน้าบ้าน และทางฝ่ายเจ้าสาวจะคล้องคอเจ้าบ่าวด้วยมาลัยคล้องคอ และนำมาพบเจ้าสาวข้างในบ้าน เพื่อไปทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ พ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวจะเอาขันดอกไม้ไปรับเจ้าบ่าว (เรียกว่าขอเขย) จากบ้านอีกหลัง แม่กับพ่อเจ้าสาวจะพามาบ้านเจ้าสาว
    
9.49 น.    ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ พ่อหมอจะทำการสู่ขวัญคู่บ่าว-สาว สวดบทแต่งงาน
    - พ่อหมอ และพ่อแม่จะทำการผูกข้อมือคนละข้างก่อนทำพิธีศาสนายิว
โดยการเชิญเจ้าบ่าวให้ไปยืนอยู่กลางเวที จากนั้นเจ้าสาวจะเดินรอบเจ้าบ่าว โดยเดินทวนเข็มนาฬิกา
จำนวน 7 รอบ (การเดินรอบตัวเจ้าบ่าว 7 รอบ หมายถึงการทำลายกำแพงในจิตใจของเจ้าบ่าว และเจ้าสาวจะได้เข้าไปในใจดวงนั้น) จากนั้นกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม และแขกผู้ใหญ่ก็จะผูกข้อมือพร้อมกล่าวคำอวยพรแก่คู่บ่าวสาว เมื่อแขกขึ้นมาผูกข้อมือจนหมด
- ลำดับต่อไปพ่อหมอก็จะทำการสวดพิธีจบการแต่งงาน (เมื่อหมอสูตรกล่าวคำพิธีเสร็จ เป็นอันจบพิธี) จากนั้น คู่บ่าวสาวจะต้องเดินไปกลางเวทีอีกรอบ เพื่อสวมแหวนแต่งงาน และทำพิธีดื่มไวน์แดงในแก้วใบเดียวกันโดยเจ้าบ่าวจะทำการสวดมนต์ต่อพระเจ้า และเจ้าบ่าวจะดื่มไวน์ก่อน และนำแก้วไวน์ให้เจ้าสาวดื่มต่อ (ก่อนจะดื่มไวน์ ต้องกล่าวคำสัญญา/สาบานว่าจะรัก ดูแลเจ้าบ่าว/เจ้าสาว และจะให้เกียรติ เคารพนับถือไปชั่วชีวิตของตน) เมื่อเจ้าสาวดื่มเสร็จ  ยื่นแก้วไวน์ให้กับทางเจ้าบ่าวเพื่อทำลายแก้วไวน์ โดยการเหยียบแก้วไวน์ ถือเป็นการเฉลิมฉลอง อาจจะมีการโห่ ไชโย (การเอาแก้วไวน์นั้นมาเหยียบให้แตก เป็นการประกาศ ว่า ณ บัดนี้ ข้าทั้งสองตั้งใจมั่นว่าจะก้าวเข้าสู่ภาวะใหม่ เป็นภาวะที่สมบูรณ์ ภาวะของคนที่เติบโตขึ้น แก้วหมายถึงร่างกาย เป็นภาชนะบรรจุจิตวิญญาณ หากจะก้าวไปสู่แดนแห่งจิตวิญญาณ ก็ต้องข้ามผ่านร่างกายไปเสียก่อน)

    จากนั้นทำการส่งตัวเข้าห้องหอ ซึ่งในระหว่างที่ส่งตัวบ่าวสาว บรรดาแขกก็จะว่าง เราก็มีการฟ้อนรำของเด็กๆ เพื่อให้บรรยากาศในงานไม่น่าเบื่อระหว่างรอ ซึ่งเราก็ให้เด็กๆ ในหมู่บ้านฟ้อน หรือรำ จำนวนการแสดงมี 2 ชุด รวมของเจ้าสาวอีก 1 ชุด การแสดงทั้งหมดเป็น 3 ชุด
การแสดงของเจ้าสาวจะเป็นการแสดงชุดสุดท้าย และกล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน และพบปะแขกภายในงาน (งานของเราจบประมาณบ่าย 2 โมงกว่านิดๆ เราก็แยกออกมาเพื่อไปที่เชียงรายต่อ งานค่อนข้างเงียบมาก และเราก็อยู่ในความสงบ ไม่มีดนตรีอะไร ก็จะมีแต่ช่วงจัดงานเท่านั้น) เราก็คงไม่อาจลืมวันนั้นได้ และทุกๆ ปี ก็คงยังจดจำได้ดีเสมอ “รักพ่อหลวง”
3. ชุดแต่งงานเราก็เลือกร้านที่เชียงใหม่ อันนี้แฟนเป็นคนหาว่าร้านไหน เพราะเป็นคนแพ้ง่าย เลยให้เค้าเลือกร้านเองเลยค่ะ แต่ตรีมชุดก็ต้องล้านนา

4. อาหารสำหรับแขกทางฝั่งเพื่อนเราและแฟน เราก็เน้นอาหารทางเหนือ และสั่งของมาจากเชียงใหม่ (ร้านดำรง ตลาดต้นลำไย) และให้ลูกสาวป้า และน้าสาวช่วยทำกับข้าวบางอย่างด้วย ส่วนเมนูเรากับแฟนก็ช่วยกันคิดว่าเพื่อนชอบทานอะไรกันบ้าง แล้วก็ลิสต์รายการออกมา
5. ส่วนฤกษ์งานแต่ง เราก็เอาที่สะดวกวันไหน แล้วเอาไปถามพ่อกับแม่ และการหาร้านปริ๊นท์การ์ดแต่งงาน ตรีมสีน้ำเงินทอง ซึ่งเป็นสีโปรดของแฟน เราทำเป็นกระดาษแข็ง พิมพ์ 2 ด้าน ภาษาอังกฤษ กับภาษาไทย ต่างคนต่างออกแบบกันเองค่ะ ส่วนการเขียนไฟล์ AI ก็ได้เพื่อนของแฟนช่วยทำให้ (ต้องขอบคุณ Alone and Maya ที่ช่วยเหลือเราโดยไม่คิดค่าออกแบบเลยซักกะบาท) พอเพื่อนร่างให้ในแบบที่เราต้องการก็จะส่งไฟล์ให้เราช่วยกันดูว่าดีไหม ต้องเพิ่มอะไรยังไงหรือเปล่า และแทรก QR Code สำหรับแผนที่ เพราะไม่มีพื้นที่ให้แทรกแผนที่เข้าไป และหากจะปริ๊นท์กระดาษแทรกอีกใบก็แลดูสิ้นเปลือง (บ้านเราไกลตัวเมืองมากๆ ก็หาอยากหน่อย ต้องใช้แผนที่ในการนำทาง ^_^ อย่างกับเมืองลับแล) สำหรับการ์ดเสียค่าปริ๊นท์หน้า-หลัง ใบละ 25 บาท (ราคานี้แอบแพง สำหรับเรา) ทั้งหมด 500 ใบ และค่าป้ายติดของชำร่วยอีกตัวละ 3 บาท จำนวน 500 ดวง (อันนี้เราเอามาติดของชำร่วยเอง) ส่วนชื่อหน้าซองเราก็ปริ๊นท์เอาที่บ้าน และเอาการ์ดใส่ซองเอง สรุปก็ได้การ์ดมาแบบนี้ค่ะ
6. ของชำร่วย อันนี้บอกเลยว่าใช้เวลาในการหาของที่ถูกใจยากมาก เราก็เลยเอามาลัยสบู่แขวนหน้ารถ และมีผ้าขนหนูทำเป็นรูปหมีสีน้ำเงินค่ะ ส่วนของแฟนก็คิดไม่ออกว่าอยากได้อะไรให้เพื่อนชาวต่างชาติเป็นของชำร่วย 2 อาทิตย์ ก่อนงานแต่งงานเอาพัด โดยให้พี่ชายเป็นคนวาดแบบลงในพัดให้ค่ะ (โชคดีไป)
7. ภาพ Pre-wedding อันนี้บอกตรงๆ ว่าจะไม่เอาละ แต่จะเอาภาพที่ไหนไว้หน้างานล่ะ เลยไปถ่ายก่อนวันงาน 2 อาทิตย์ ก็ได้ภาพมาติดที่หน้างาน และตกแต่ง ทางเจ้าของร้านก็ใจดีมากๆ ค่ะ ตอนแรกเอาแค่ถ่ายในสตูดิโอ ราคาประมาณ 4 พันกว่าบาทเห็นจะได้ แต่งหน้า ทำผม + 1 ชุด ถ่ายรูป แต่แฟนเราสูงเกิน ทางร้านเขาเลยออกไปถ่ายข้างนอกให้ฟรี บรรยากาศในมหาลัยเชียงใหม่ค่ะ แค่จุดเดียวก็พอละ ได้รูปเยอะมากกกก โดยร้าน
PopLove Wedding Studio ที่เชียงใหม่ค่ะ
8. หาช่างภาพราคาก็แตกต่างกันออกไป แต่งงานเราเอาแค่ครึ่งวันค่ะ ช่างภาพก็จะมีทีมของเขาเองทั้งหมด มีถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ และปริ๊นท์ภาพให้แขกที่มาร่วมงานไว้เก็บเป็นที่ระลึก (อันนี้ไอเดียของแฟนค่ะ) รวมทั้งหมดประมาณ 25,000 บาท

9. ช่างแต่งหน้าก็ทีมงานเดียวกับช่างภาพค่ะ (ช่างภาพแนะนำมาอีกที) งานเราก็ไม่ซีเรียสเท่าไหร่เอาที่เราสบายใจ ราคาประมาณ 4,500 บาท พอจ่ายไหว ^_^ (เจ้าสาวขี้งก ทุกอย่างต้องถูกและดี หรือเปล่า 5555 บางทีก็จ่ายแพงเกินควรเหมือนกัน ต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ
10. มีฟ้อนรำของเด็กในหมู่บ้าน คั่นช่วงที่เจ้าบ่าว-เจ้าสาวไปเข้าห้องหอ ช่วงนี้แขกก็จะไม่ได้ทำอะไร เราก็เลยจัดการแสดงของเด็กๆ ให้แขกดู (เพื่อนชาวต่างชาติแฟนมาด้วย) และก็ให้ซองเป็นการขอบคุณเด็กๆ ที่มาร่วมสร้างสีสันให้กับงาน และแขกจะได้ไม่เบื่อ และเราก็แอบมีเซอร์ไพร์สแฟนด้วยการรำให้ดู (แอบเขิน) กลัวลืมท่ารำบ้างละ อายบ้างละ แต่ก็ออกมาได้ดี (อันนี้แกล้งให้แฟนเป็นคนมอบซองให้กับเด็กๆ แล้วเราก็เตรียมตัวแบบสายฟ้าแลบ ให้เพื่อนบอกว่าชุดต่อไปเป็นการแสดงจากเจ้าสาว) จะบอกว่าฝึกรำแค่ 3 วันเอง เอาเวลาช่วงเย็นช่วง ทุ่ม-สองทุ่ม ก่อนงานแต่ง 3 วัน ฝึกสอนโดยน้าสาวที่บ้าน (กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงคะ) แฟนนั่งดูไปด้วย (นางมีแอบร้องไห้ด้วย อันนี้แอบเห็นนางเช็ดน้ำตา)
บรรยากาศในงานก็ออกจะเรียบๆ ไม่มีอะไรมาก ส่วนค่าใช้จ่ายก็พอดูเหมือนกันค่ะ เพราะเราทำเองทั้งหมด ส่วนอุปกรณ์ที่ทำก็จะให้คนอื่นเช่า เพื่อไปใช้งานอื่นต่อ และช่วงที่จัดงานก็ถือว่าเป็นงานแต่งที่เศร้าที่สุดก็ว่าได้ ทั้งยิ้มและในใจลึกๆ ก็มีความเสียใจแฝงอยู่ด้วย ครบรอบแต่งงานของเราทุกๆ ปีก็คงไม่อาจลืม T_T (14 ต.ค. 16)



ที่มา  https://pantip.com/topic/36540931