แชร์กระหน่ำ! คณะเภสัช ม.รังสิตสุดเจ๋ง ผลิต”ยาพ่นกัญชาบรรเทารักษามะเร็ง” สำเร็จ

นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่โลกออนไลน์กำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมากโดยเฉพาะล่าสุดในขณะนี้มีการแชร์ส่งต่อไปแล้วกว่า 4,500 ครั้ง ภายหลังจาก ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์รูปภาพรวมทั้งข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Arthit Ourairat ระบุถึง ผลสำเร็จของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

ที่สามารถผลิตยาพ่นกัญชาบรรเทารักษามะเร็งสำเร็จแล้ว โดย ดร.อาทิตย์ ระบุดังนี้”คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผลิตยาพ่นกัญชาบรรเทารักษามะเร็งสำเร็จแล้ว คณบดีและคณาจารย์นักวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้นำยาสเปรย์ Cannabis กัญชา บรรเทารักษาอาการเจ็บปวดและอาเจียรจากการรักษาทางเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้สำเร็จ

แล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขอจดทะเบียน อย.ให้ใช้สำหรับผู้ป่วยได้ต่อไป” ซึ่งหลังจากที่ได้เรียนว่า คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้วิจัยและผลิตยาพ่นกัญชา Cannabis สำเร็จแล้ว เป็นแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อรักษาบรรเทาอาการเจ็บปวดจากโรคมะเร็งและรักษาอาการอาเจียนและผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด แต่ยังอยู่ในระหว่างขอขึ้นทะเบียนกับ อย.

ได้มีผู้สนใจ สอบถามและประสงค์จะขอยาเพื่อไปรักษาบรรเทาอาการโรคมะเร็งมามากมาย กว่าหมื่นราย มหาวิทยาลัยรังสิตเห็นใจผู้ป่วยและญาติมิตรเป็นอย่างยิ่ง อยากจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ แต่ยังไม่สามารถทำได้ เพราะ อย. ยังไม่อนุมัติ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม และกำลังพยายามอย่างที่สุดที่จะขอให้ อย. กล้าที่จะอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนได้ ทั้งนี้ก็เข้าใจว่า ไทยเรายังไม่

เคยมีการคิดค้นวิจัยอะไรใหม่ๆได้ และไม่ค่อยเชื่ออะไรในคนไทย คอยแต่ตามฝรั่งต่างชาติอยู่ตลอดเวลา คอยลอกเลียนแบบเขา คอยซื้อจากเขา จึงต้องเป็นทาสเขามาตลอด ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเสมอ ซึ่งเป็นลักษณะประจำชาติไทย และหลังจากยาตำรับแรกนี้แล้ว มหาวิทยาลัยรังสิตกำลังวิจัยผลิตยาตำหรับที่สอง. เป็นยาเม็ด อมและวางบนลิ้น เพื่อบรรเทารักษาอาการเจ็บ

ปวดและอาเจียนเช่นเดียวกับตำรับแรก จะสำเร็จในระยะเวลาไม่นานนัก และที่จะถือเป็นความสำเร็จและข่าวดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งทั้งหลายซึ่งมีมากมายหลายล้านคน คือตำรับยาที่ 3 ที่เป็นยากัญชารักษาโรคมะเร็งได้โดยตรง โดยนักวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นนักวิจัยกัญชาคนเดียวในประเทศไทย จะสำเร็จในเวลา 3 เดือนข้างหน้านี้ สำคัญอยู่ที่ว่า อย.

จะเห็นใจ จะกล้าสนับสนุนหรือไม่ หรือจะโดนอิทธิพลบริษัทยาข้ามชาติกดดัน ควบคุมหรือไม่ ก็ต้องอยู่ที่ประชาชนคนไทยจะมีพลังช่วยกันกดดันให้รัฐบาลไทย นักกฎหมายไทย กล้าปลดแอก ปกป้องเอกราชอธิปไตยของไทย ผลประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยและสุวรรณภูมิเพียงใดหรือไม่ ซึ่งคนส่วนมากจะรู้ว่ากัญชาสามารถรักาาโรคต่างๆให้หายได้

หลังจากที่วุฒิสภาของอุรุกวัยอนุมัติกฎหมายให้สามารถปลูก และซื้อขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย ข่าวนี้ถือเป็นเรื่องฮือฮาพอสมควรต่อประชาชนชาวโลก แม้ว่าการพิจารณากฎหมายฉบับนี้จะเกิดขึ้นมาหลายเดือนแล้วก็ตาม ซึ่งประชาชนชาวอุรุกวัยก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และไม่พอใจกับการผ่านกฎหมายฉบับนี้ กัญชาไม่ถือเป็นสารเสพติดเพราะเป็นเพียงพืชล้มลุกจำพวกหญ้า

มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Cannabis indicaหรือ Cannabis sativa L subsp. indica (Lam.) E. Small&Cronq เป็นสารไม่เสพติด ไม่มีผลข้างเคียง แม้จะเลิกเสพกะทันหัน ไม่มีผลต่อความสามารถต่างๆของผู้เสพ เมื่อเทียบกันแล้ว สุราและบุหรี่มีผลกระทบมากกว่ากัญชา ด้วยเหตุที่กัญชาเป็นพืชที่ปลูกง่าย ทั้งยังเป็นสารไม่เสพติดนี้เองทำให้หลายประเทศในโลก

พยายามผลักดันให้กัญชาไม่ผิดกฎหมาย แต่ให้อยู่ภายใต้การควบคุม อีกทั้งหากใช้ในปริมาณไม่มากนัก กัญชายังมีสรรพคุณในทางบวกอีกด้วย ในทางการแพทย์ กัญชามีประโยชน์ในการรักษาโรคและบรรเทาอาการได้หลากหลาย แก้อาการไอ อ่อนล้า โรคข้อ กัญชาใช้บรรเทาหอบหืด เพราะขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม แก้อาการสั่นเพ้อ ปวดหัวไมเกรน และ

ปวดประจำเดือน แม้การใช้จะลดลงเมื่อมีการสังเคราะห์ยากล่อมประสาท และยาแก้ปวดอื่น หรือกระทั่งโรคมะเร็ง กัญชาก็ยังถูกนำมาใช้เพื่อรักษาผลข้างเคียง ป้องกันการคลื่นไส้อาเจียนจากการทำเคมีบำบัด ใช้เป็นสารกระตุ้นความ อยากอาหาร กัญชาจะช่วยชะลอน้ำหนักลดในโรคมะเร็ง และโรคเอดส์ หรือการใช้รักษาโรคต้อหิน ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงสรรพคุณส่วนหนึ่งของกัญชา

เท่านั้น ข้อดีมากมายที่ชาติตะวันตกค้นพบมานานตั้งแต่ ค.ศ.1839 ทำให้สหรัฐอเมริกาออกกฎหมายให้ 14 มลรัฐสามารถใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้ ดังนี้ อลาสก้า, แคลิฟอร์เนีย, โคโลราโด, ฮาวาย, รัฐเมน, มิชิแกน, เนวาด้า, นิวเจอร์ซี่, นิวเม็กซิโก, โอเรกอน, โรดไอแลนด์, เวอร์มอนต์และมลรัฐวอชิงตัน ที่เนเธออร์แลนด์อนุญาตให้มีการสูบกัญชาได้อย่างถูก

กฎหมายโดยมีร้านไว้สูบกัญชาแบ่งแยกชัดเจน สามารถหาซื้อทั่วไป แต่ยังไม่อนุญาตให้ผลิตและปลูกได้ ขณะที่อุรุกวัยนั้นเป็นประเทศทางผ่านที่ประเทศใกล้เคียงมักเป็นเส้นทางลำเลียงส่งทั้งกัญชาและโคเคน ทางรัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะทำให้มีการปลูกกัญชาอย่างถูกกฎหมาย เพื่อลดปริมาณการลักลอบส่งสินค้าให้กลายมาเป็นการสร้างรายได้ให้รัฐบาลและประเทศได้

อีกทั้งรัฐบาลยังสามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้กัญชาที่คุณภาพดีกว่าด้วย แต่กระนั้นกัญชาก็ยังมีฤทธิ์ที่ทำให้ผู้เสพมีความคิดเลื่อนลอยสับสน ความคุมตัวเองไม่ได้ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อลีบ หัวใจเต้นเร็ว หูแว่ว ดังนั้นหากใช้ในทางที่ถูก ปริมาณพอเหมาะแล้ว กัญชาถือเป็นสารไม่เสพติดที่มีประโยชน์ต่อวงการแพทย์อย่างล้นเหลือ

ดังนั้นหากใช้ให้ถูกทางก็จะกลายเป็นประโยชน์ยิ่ง กัญชาเป็นพืชล้มลุกจำพวกหญ้าขึ้นได้ง่ายในเขตร้อน ลำต้นสูงประมาณ 2-4 ฟุต ลักษณะใบจะแยกออกเป็นแฉกประมาณ 5-8 แฉก คล้ายใบมันสำปะหลังที่ขอบใบทุกใบจะมีรอยหยักอยู่เป็นระยะๆ ออกดอกเป็นช่อเล็กๆ ตามง่ามของกิ่งและก้าน ส่วนที่คนนำมาเสพได้แก่ส่วนของกิ่ง ก้าน ใบ และยอดช่อดอกกัญชา

โดยนำมาตากหรืออบแห้ง แล้วบดหรือหั่นให้เป็นผงหยาบๆ จากนั้นจึงนำมายัดไส้บุหรี่สูบ (แตกต่างจากบุหรี่ทั่วไปที่ไส้บุหรี่จะมีสีเขียว ต่างจากไส้ยาสูบที่มีสีน้ำตาล และขณะจุดสูบจะมีกลิ่นเหมือนหญ้าแห้งไหม้ไฟ) หรืออาจสูบด้วยกล้องหรือบ้องกัญชา บ้างก็ใช้เคี้ยวหรือผสมลงในอาหารรับประทาน ปัจจุบันรูปแบบของกัญชาที่พบ นอกจากจะพบในลักษณะของกัญชาสด

กัญชาแห้งอัดเป็นแท่งเป็นก้อนแล้ว ยังอาจพบในรูปของ “น้ำมันกัญชา” (Hashish Oil) ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ได้จากการนำกัญชามาผ่านกระบวนการสกัดหลายๆ ครั้ง จึงได้เป็นนำมันกัญชาที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทสูงถึง 20-60% หรืออาจพบในลักษณะของ “ยางกัญชา” (Hashish) เป็นยางแห้งที่ได้จากใบ และยอดช่อดอกกัญชา

ซึ่งโดยทั่วไปจะมีฤทธิ์แรงกว่ากัญชาสด และมีปริมาณสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ประมาณ 4-8% กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษ ที่ออกฤทธิ์หลายอย่างต่อระบบประสาทส่วนกลาง คือ ทั้งกระตุ้นประสาท กดและหลอนประสาท สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในกัญชามีหลายชนิด แต่สารที่สำคัญที่สุดที่มีฤทธิ์ต่อสมองและทำให้ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป คือ เตตราไฮโดรแคนนาบิ

นอล (Tetrahydrocannabinol) หรือ THC ที่มีอยู่มากในส่วนของยอดช่อดอกกัญชา สาร THC นี้ในเบื้องต้นจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพตื่นเต้น ช่างพูด และหัวเราะตลอดเวลา ต่อมาจะกดประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้าอย่างอ่อน ๆ เซื่องซึม และง่วงนอน หากเสพเข้าไปในปริมาณมากๆ จะหลอนประสาททำให้เห็นภาพลวงตา หูแว่ว ความคิดสับสน ควบคุมตนเองไม่ได้