Conjunctivitis (pink eye) หรือที่รู้จักกันในชื่อของโรคตาแดงมีสาเหตุมาจากการอักเสบ
และติดเชื้อที่เยื่อบุดวงตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่เปราะบาง
เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย หากรักษาไม่ถูกวิธี
การติดเชื้อนั้นมาจากที่ใดบ้าง?
แน่นอนว่าล้วนมาจากสิ่งรอบตัวโดยที่เราไม่ได้สังเกตหรือระมัดระวัง เช่น
ฝุ่นผงในอากาศ การสัมผัสกับน้ำตาของผู้ป่วย การขยี้ตาอย่างรุนแรง
และในบางครั้ง
เจ้าอาการตาแดงนี้ก็อาจเป็นอาการที่จะนำไปสู่โรคเกี่ยวกับดวงตาที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นได้
ในวันนี้ Thaiza จึงได้มีเคล็ดลับในการรักษาอาการตาแดงจากสมุนไพรที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาฝากเพื่อนๆ กันอีกเช่นเคยค่ะ รับรองว่าปลอดภัยและประหยัดงบอย่างแน่นอน
1. Tulsi, Holy Basil
Tulsi หรือ Holy Basil มีชื่อภาษาไทยที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคือต้นกะเพรา นั่นเองค่ะ นอกจากจะเป็นสมุนไพรที่หาซื้อได้ง่าย มีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการอักเสบและคลายความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับดวงตาของเรา อีกทั้งยังช่วยกำจัดสิ่งสกปรก เช่นเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่อยู่ตามอากาศโดยเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในการทำต้นกะเพรามาทำเป็นยารักษาโรคตาแดง เพื่อนๆ สามารถทำได้โดยการนำต้นกะเพรามาล้างน้ำให้สะอาด ต้มในน้ำเดือด 10 นาที ทิ้งไว้ให้เย็นสักครู่หนึ่ง จากนั้นนำน้ำที่ได้มาใช้สำหรับล้างตาให้สะอาด หรือจะใช้สำลีก้อนชุบน้ำที่ต้มไว้ และนำมาเช็ดเบาๆ บริเวณรอบดวงตาค่ะ
2. Green tea
Green tea หรือชาเขียว เครื่องดื่มสุดโปรดของคุณผู้อ่านหลายๆ คน ก็สามารถเป็นยารักษาโรคตาแดงได้เช่นเดียวกันค่ะ ด้วยสารไบโอฟลาโวนอยด์ หรือวิตามิน P ที่อยู่ในชาเขียวสามารถช่วยลดอาการระคายเคือง และบรรเทาอาการอักเสบของดวงตาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เพียงนำถุงชาเขียวแช่ในน้ำร้อนตามปกติ และเมื่อน้ำเย็นตัวจนสามารถสัมผัสได้ ก็นำมาล้างทำความสะอาดดวงตาได้ตามปกติค่ะ หรือจะใช้สำลีก้อน กับผ้าสะอาดผืนเล็กๆ มาชุบน้ำชา และนำไปเช็ดบริเวณรอบดวงตาอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงไม่ให้ดวงตาอักเสบยิ่งขึ้นค่ะ
3. Aloe vera gel
Aloe vera หรือว่านหางจระเข้ เป็นสมุนไพรพื้นบ้านยอดนิยมอีกทั้งยังมีสรรพคุณหลากหลาย ทั้งช่วยปลอบประโลมผิวจากการถูกแสงแดดและช่วยเติมความชุ่มชื้นแก่ผิว นอกจากนี้ ในว่านหางจระเข้ยังมีสารช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส และแบคทีเรียที่มาก่อกวน ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ และสมานแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการนำว่านหางจระเข้มารักษาอาการตาแดงก็สามารถทำได้ง่ายๆ เช่นเดียวกันค่ะ โดยมีส่วนประกอบที่ต้องใช้แค่ 1 ชนิดเท่านั้นก็คือ ว่านหางจระเข้สด ที่ทำความสะอาดแล้วเรียบร้อย แล้วจึงนำมาโปะบริเวณหนังตา และรอบๆ ดวงตา ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงนำออกอาการตาแดงก็จะค่อยๆ ทุเลาลง
4. Turmeric
Turmeric หรือขมิ้น ก็เป็นอีกสมุนไพรยอดฮิตที่อัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์ สามารถนำมารับประทานเพื่อบำรุงร่างกาย บำรุงผิวพรรณให้เนียนละเอียดน่าสัมผัส และยังนำมารักษาโรคตาแดงได้อีกด้วยนะคะ ด้วยสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบ ฆ่าเชื้อ และทำให้แผลหายไวยิ่งขึ้น
เพียงเพื่อนๆ เตรียมผงขมิ้นแท้ ผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วย แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นใช้ผ้าหรือสำลีแผ่นจุ่มลงในน้ำขมิ้นให้ชุ่ม บิดน้ำออกเล็กน้อย แล้วนำมาโปะรอบดวงตาสามารถกดหรือนวดได้อย่างเบามือ
5. Neem oil
Neem oil หรือน้ำมันสะเดา เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยายอดเยี่ยมไม่แพ้สมุนไพรอื่นๆ แม้รสชาติของมันจะไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่ หากใครกำลังประสบปัญหากับโรคตาแดงอยู่ล่ะก็ น้ำมันสะเดาก็สามารถนำมาใช้รักษาบรรเทาอาการระคายเคืองได้โดยปราศจากอันตราย พร้อมทั้งยังช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรคตาแดงให้หมดไป เพียงใช้น้ำมันสะเดาบริสุทธิ์ทาบริเวณเปลือกตา และรอบๆ ดวงตา นวดเบาๆ ทำก่อนนอนเป็นประจำทุกคืนแล้วอาการตาแดงจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับค่ะ
เคล็ดลับที่เรานำมาฝากเพื่อนๆ ในวันนี้ เป็นเพียงแค่วิธีรักษาเบื้องต้นเท่านั้นนะคะ หากมีอาการที่รุนแรง หรือยังไม่หายดีก็ควรที่จะรีบไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Source: www.davidwolfe.com
ในวันนี้ Thaiza จึงได้มีเคล็ดลับในการรักษาอาการตาแดงจากสมุนไพรที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาฝากเพื่อนๆ กันอีกเช่นเคยค่ะ รับรองว่าปลอดภัยและประหยัดงบอย่างแน่นอน
1. Tulsi, Holy Basil
Tulsi หรือ Holy Basil มีชื่อภาษาไทยที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคือต้นกะเพรา นั่นเองค่ะ นอกจากจะเป็นสมุนไพรที่หาซื้อได้ง่าย มีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการอักเสบและคลายความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับดวงตาของเรา อีกทั้งยังช่วยกำจัดสิ่งสกปรก เช่นเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่อยู่ตามอากาศโดยเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในการทำต้นกะเพรามาทำเป็นยารักษาโรคตาแดง เพื่อนๆ สามารถทำได้โดยการนำต้นกะเพรามาล้างน้ำให้สะอาด ต้มในน้ำเดือด 10 นาที ทิ้งไว้ให้เย็นสักครู่หนึ่ง จากนั้นนำน้ำที่ได้มาใช้สำหรับล้างตาให้สะอาด หรือจะใช้สำลีก้อนชุบน้ำที่ต้มไว้ และนำมาเช็ดเบาๆ บริเวณรอบดวงตาค่ะ
2. Green tea
Green tea หรือชาเขียว เครื่องดื่มสุดโปรดของคุณผู้อ่านหลายๆ คน ก็สามารถเป็นยารักษาโรคตาแดงได้เช่นเดียวกันค่ะ ด้วยสารไบโอฟลาโวนอยด์ หรือวิตามิน P ที่อยู่ในชาเขียวสามารถช่วยลดอาการระคายเคือง และบรรเทาอาการอักเสบของดวงตาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เพียงนำถุงชาเขียวแช่ในน้ำร้อนตามปกติ และเมื่อน้ำเย็นตัวจนสามารถสัมผัสได้ ก็นำมาล้างทำความสะอาดดวงตาได้ตามปกติค่ะ หรือจะใช้สำลีก้อน กับผ้าสะอาดผืนเล็กๆ มาชุบน้ำชา และนำไปเช็ดบริเวณรอบดวงตาอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงไม่ให้ดวงตาอักเสบยิ่งขึ้นค่ะ
3. Aloe vera gel
Aloe vera หรือว่านหางจระเข้ เป็นสมุนไพรพื้นบ้านยอดนิยมอีกทั้งยังมีสรรพคุณหลากหลาย ทั้งช่วยปลอบประโลมผิวจากการถูกแสงแดดและช่วยเติมความชุ่มชื้นแก่ผิว นอกจากนี้ ในว่านหางจระเข้ยังมีสารช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส และแบคทีเรียที่มาก่อกวน ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ และสมานแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการนำว่านหางจระเข้มารักษาอาการตาแดงก็สามารถทำได้ง่ายๆ เช่นเดียวกันค่ะ โดยมีส่วนประกอบที่ต้องใช้แค่ 1 ชนิดเท่านั้นก็คือ ว่านหางจระเข้สด ที่ทำความสะอาดแล้วเรียบร้อย แล้วจึงนำมาโปะบริเวณหนังตา และรอบๆ ดวงตา ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงนำออกอาการตาแดงก็จะค่อยๆ ทุเลาลง
4. Turmeric
Turmeric หรือขมิ้น ก็เป็นอีกสมุนไพรยอดฮิตที่อัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์ สามารถนำมารับประทานเพื่อบำรุงร่างกาย บำรุงผิวพรรณให้เนียนละเอียดน่าสัมผัส และยังนำมารักษาโรคตาแดงได้อีกด้วยนะคะ ด้วยสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบ ฆ่าเชื้อ และทำให้แผลหายไวยิ่งขึ้น
เพียงเพื่อนๆ เตรียมผงขมิ้นแท้ ผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วย แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นใช้ผ้าหรือสำลีแผ่นจุ่มลงในน้ำขมิ้นให้ชุ่ม บิดน้ำออกเล็กน้อย แล้วนำมาโปะรอบดวงตาสามารถกดหรือนวดได้อย่างเบามือ
5. Neem oil
Neem oil หรือน้ำมันสะเดา เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยายอดเยี่ยมไม่แพ้สมุนไพรอื่นๆ แม้รสชาติของมันจะไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่ หากใครกำลังประสบปัญหากับโรคตาแดงอยู่ล่ะก็ น้ำมันสะเดาก็สามารถนำมาใช้รักษาบรรเทาอาการระคายเคืองได้โดยปราศจากอันตราย พร้อมทั้งยังช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรคตาแดงให้หมดไป เพียงใช้น้ำมันสะเดาบริสุทธิ์ทาบริเวณเปลือกตา และรอบๆ ดวงตา นวดเบาๆ ทำก่อนนอนเป็นประจำทุกคืนแล้วอาการตาแดงจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับค่ะ
เคล็ดลับที่เรานำมาฝากเพื่อนๆ ในวันนี้ เป็นเพียงแค่วิธีรักษาเบื้องต้นเท่านั้นนะคะ หากมีอาการที่รุนแรง หรือยังไม่หายดีก็ควรที่จะรีบไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Source: www.davidwolfe.com