โกจิเบอร์รี่เป็นสมุนไพรประเภทซุปเปอร์ฟู้ดชนิดหนึ่ง ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูงมาก แต่ชื่อนี้อาจจะไม่ค่อนคุ้นหูกันสักเท่าไร โดยถ้าเราเอ่ยถึงว่า “เก๋ากี้” ที่ใส่ในน้ำซุปสไตล์เมนูจีนจะต้องร้องอ๋อกันอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีความหวานจากกลูโคสและกากใยอาหารสูงด้วยเช่นกัน
1. ทำให้ผ่อนคลายความเครียด มีผลการศึกษาวิจัยบางฉบับได้พบว่า การดื่มน้ำโกจิเบอร์รี่ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 15 วัน จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ความเครียดลดน้อยลง และนอนหลับง่ายมากขึ้น
2. บำรุงสายตา สารทอรีนในโกจิเบอร์รี่มีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตาให้แจ่มใส โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาการมองเห็นอันเนื่องมาจากโรคเบาหวาน
3. ต้านเซลล์มะเร็ง โกจิเบอร์รี่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงสามารถช่วยป้องกันและยับยั้งเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี พร้อมกับซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายที่มีการอักเสบหรือการเสื่อมไปตามวัยอีกด้วย
4. ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ จากการศึกษาเบื้องต้นในสัตว์ทดลองพบว่า โกจิเบอร์รี่น่าจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุล ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้
5. ทำให้ผิวหนังทนต่อแสงแดด สารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในผลโกจิเบอร์รี่มีส่วนช่วยในการรักษาผิวและปกป้องผิวจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต จึงช่วยลดการอักเสบจากอาการผิวไหม้แดด
ปัจจุบันโกจิเบอร์รี่มีจำหน่ายทั้งในรูปผลไม้อบแห้งหรือน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ดังนั้นหากรับประทานแบบผลไม้อบแห้งควรไม่เกิน 6 – 18 กรัมต่อวัน ส่วนน้ำโกจิเบอร์รี่ควรดื่มไม่เกินวันละ 118 มิลลิลิตร
ข้อควรระวังในการรับประทานโกจิเบอร์รี่คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้ป่วยที่รับประทานยาเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนรับประทานโกจิเบอร์รี่ เนื่องจากสารสำคัญบางชนิดอาจมีผลกระทบโดยตรงต่อยารักษาโรคได้
1. ทำให้ผ่อนคลายความเครียด มีผลการศึกษาวิจัยบางฉบับได้พบว่า การดื่มน้ำโกจิเบอร์รี่ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 15 วัน จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ความเครียดลดน้อยลง และนอนหลับง่ายมากขึ้น
2. บำรุงสายตา สารทอรีนในโกจิเบอร์รี่มีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตาให้แจ่มใส โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาการมองเห็นอันเนื่องมาจากโรคเบาหวาน
3. ต้านเซลล์มะเร็ง โกจิเบอร์รี่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงสามารถช่วยป้องกันและยับยั้งเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี พร้อมกับซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายที่มีการอักเสบหรือการเสื่อมไปตามวัยอีกด้วย
4. ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ จากการศึกษาเบื้องต้นในสัตว์ทดลองพบว่า โกจิเบอร์รี่น่าจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุล ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้
5. ทำให้ผิวหนังทนต่อแสงแดด สารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในผลโกจิเบอร์รี่มีส่วนช่วยในการรักษาผิวและปกป้องผิวจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต จึงช่วยลดการอักเสบจากอาการผิวไหม้แดด
ปัจจุบันโกจิเบอร์รี่มีจำหน่ายทั้งในรูปผลไม้อบแห้งหรือน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ดังนั้นหากรับประทานแบบผลไม้อบแห้งควรไม่เกิน 6 – 18 กรัมต่อวัน ส่วนน้ำโกจิเบอร์รี่ควรดื่มไม่เกินวันละ 118 มิลลิลิตร
ข้อควรระวังในการรับประทานโกจิเบอร์รี่คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้ป่วยที่รับประทานยาเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนรับประทานโกจิเบอร์รี่ เนื่องจากสารสำคัญบางชนิดอาจมีผลกระทบโดยตรงต่อยารักษาโรคได้